หัวควน
หัวควน
เช้าของวันหนึ่ง น่าจะเป็นวันนี้ ในขณะที่หรือตอนที่กำลังเดินออกกำลังกาย ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซต์วิ่งตามหลัง เสียงมอเตอร์ไซต์ดังคุ้นๆๆ หู น่าจะเป็นเพราะได้ยินบ่อย แสดงว่าต้องเป็นคนรู้จักกัน เลยไม่หันไปมองเขา ในช่วงจังหวะขณะที่รถกำลังแซงหน้าขึ้นไป ได้มีเสียงถามจากคนขับรถว่า “เดินไปถึงไหน” ตอบเขาไปทันทีเช่นกัน ว่า “หัวควน” เขาพยักหน้ายิ้มเป็นอันเข้าใจ ตามที่เขาต้องการทราบ พร้อมบิดเร่งเครื่องมอเตอร์ไซต์เพื่อไปยังเป้าหมายของเขา ด้วยความสบายหลังจากที่ทราบว่า เราเดินไปถึงไหน น่าว่าคืนนี้คนถามน่าจะนอนหลับสนิท เพราะได้คลายข้อสงสัยแล้วว่า ที่เจอในแต่ละวันได้เดินไปถึงไหน อย่างไร
นั้นคือเสน่ห์ของภาษาใต้ แค่ตอบนิดเดียวเขาเข้าใจแล้ว หลังจากที่ตอบเขาไป ในความรู้สึกของตัวเอง มีความภูมิใจนิดๆๆ ที่ใช้ภาษาดังเดิมได้อย่างคล่องตัว คำว่าหัวควน บางคนที่อ่านแล้ว อาจจะเข้าใจว่าพิมพ์ผิด หรือคิดว่าต้องการสื่อพิมพ์คำหยาบ แต่เลี่ยงบาลีไปใช้คำอื่นแทน ไม่ใช่ครับ พิมพ์ถูกจริงๆๆ มันคือ “หัวควน” จริงๆๆ
คำว่า หัวควน หมายถึงจุดที่แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ บนยอดของควน คือส่วนที่สูงที่สุดของควน เมื่อเราเดินถึงหัวควนแล้ว หากเราเดินต่อมันจะเป็นการลงจากควน ภาษากลาง เขาน่าจะเรียกว่า เนิน หรืออะไร ไม่แน่ใจ และเพื่อให้แน่ใจอีกครั้งว่า คำพูดที่เราพูดออกไปตามสัญชาติมันถูกต้องหรือไม่ คำนี้มีการเรียกหรือไม่ ลองค้นผ่าน Google พบว่า มีเยอะแยะไปหมดที่เราเรียกพื้นที่แต่ละพื้นที่ว่า หัวควน เช่นหัวควน ตรัง หัวควน ทุ่งใหญ่ หัวควน นครศรีธรรมราช สรุปว่ามันเป็นคำพูดที่มีการใช้กันมากเช่นกัน
และสรุปได้อีกอย่างว่า มันเป็นการเรียนรู้ผ่านส่งเป็นทอดมาโดยเราเอง เรียนรู้โดยไม่ต้องจำ
ในการเดินแต่ละเช้า มีเหตุการณ์ต่างๆๆ มากมายที่ได้พบปะพูดคุย ได้เห็นสิ่งแปลก ได้เห็นนิสัยของคน สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ การเอาความง่ายของตัวเองไว้ก่อน สองข้างทางตอนนี้ เริ่มมีถุงพสาสติค ขวดน้ำ แก้วน้ำ ที่หล่นสองข้างทางจำนวนมากขึ้น น่าจะมาจากคนที่ไปจ่ายตลาด ในระหว่างเดินตลาดเพื่อจ่ายตลาด ได้ซื้อของพวกนั้นมากิน หลังจากกินเสร็จแล้วคงจะวางไว้ในตะกร้าหน้ารถ หลังจากเดินทางออกจากตลอด ผ่านเส้นทางดังกล่าว น่าจะเกิดลมพัดอย่างรุนแรงประกอบกับความเร็วของรถและความลาดชันของควน คงจะทำให้พวกถุงพลาสติค ขวดน้ำ แก้วน้ำ เหล่านั้นปลิว ลงมาจากตะกร้าหน้ารถ เขาจะหยุดเพื่อเก็บ ด้วยความเร็วของรถเลยหยุดไม่ทัน ลมพัดหายไปข้างทางหมด นั้นคือการคิดในแง่ดี ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาทิ้งขยะพวกนั้นในขณะขับรถ
สิ่งที่สำผัสได้ในการเดินตอนเช้าอีกอย่าง นั้นคือพบความเร่งรีบของคน น่าจะรีบไปทำงาน รีบไปส่งของ รีบทำเพื่อให้ทันเวลาในบางสิ่งบางอย่าง แล้วมาย้อนคิดตัวเอง ตอนนี้ ห้วงเวลาแห่งการรีบต่างๆๆ หายไป สิ่งที่ได้มาคือความสงบ ความนิ่ง ความสดชื่น
เมื่อก่อนไม่เคยสังเกตุ ข้างทางเลยว่าเป็นอย่างไร น่าจะเกิดจากเหมือนคนอื่นๆๆ ตอนนี้ คือความเร่งรีบ มองเป้าหมายแต่ข้างหน้าอย่างเดียว ทำอย่างไรให้เร็ว แล้วให้ถึงเป้าหมายโดยเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้
มาตอนนี้ หลังจากชีวิตมันเริ่มลงตัว เริ่มปล่อยความรีบต่างๆๆ ให้ลดลง หันมาเดินแทนที่จะวิ่ง สิ่งที่ได้คือ ข้างทางมีสิ่งสวยงาม มากมาย สิ่งที่ได้กลับมาทุกครั้งหลังจากเดินคือพวกพันธ์ไม้ต่างๆๆ ที่เมื่อก่อน มักจะขับรถ แล้วบางทีไปเหยียบมัน มองผ่านไปแล้วแทบไม่มีค่าอะไรเลย
แต่ตอนนี้ มีค่าขึ้นมาแล้ว เดินเจอเมล็ดพันธ์ไม้ต่างๆๆ เริ่มเก็บมาสะสมไว้ อย่างเช่น ต้นสะเดาเทียม เดินทุกเช้าเจอทุกเช้า แล้วเก็บทุกเช้า เอามาโยนทิ้งไว้ในถุงดำขนาดใหญ่ กลับไปมองตอนนี้ งอกมาเป็นต้นมากมาย จากที่เมื่อก่อนเคยเดินขุด เดินหากว่าจะได้แต่ละต้น ตอนนี้ มีเหลือเฟือ จนไม่มีที่ปลูก นี่คือสิ่งที่ได้จากการเดินตอนเช้า
หลังจากเมล็ดต้นสะเดาเทียมหยุดหล่นและหมดไปแล้ว สิ่งที่ตามมาตอนนี้อีก คือต้นมะขาม เริ่มหล่นจากต้นอีกแล้ว สำหรับต้นมะขาม เมล็ดของมันหล่นลงมาแล้วไม่มีตัวช่วยทางธรรมชาติให้ขยายพันธ์ได้เร็วเหมือน ต้นสะเดาเทียม ต้นสะเดาเทียม ธรรมชาติได้สร้างสิ่งหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้ขยายพันธ์เร็วขึ้น นั้นคือค้างคาว ปกติแล้วเมล็ดของต้นสะเดาเทียม มันจะมีเนื้อหุ้มเมล็ดอีกที หากจะเอาไปปลูกต้องเอาส่วนเนื้อนั้นออกก่อน มันถึงจะงอกเร็ว เมื่อมีค้างคาว เราไม่ต้องเอาออกเอง ค้างคาวจะกินเนื้อส่วนนั้นออกแล้วทิ้งเมล็ดไว้ให้เรา
สิ่งที่ได้เห็นได้สำผัสอีกอย่าง คือธรรมชาติ ได้สร้างให้เราแล้ว แต่เรามองข้ามมันไป คิดว่าบางอย่างไม่สำคัญ ตามที่เล่ามาที่คนเห็นว่าไม่สำคัญตอนนี้ คือค้างคาว บางคนเกลียดถึงขนาดเอาตาข่ายมาขึงเพื่อให้ค้างคาวมาติดตาข่าย หลังจากนั้นทำลายมันทิ้ง แค่หวงผลไม้ต่างๆๆ ไม่อยากให้ค้างคาวมากิน แล้ววันหนึ่งจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อหมดค้างคาว
หลังจากเมล็ดสะเดาเทียม เริ่มหมด มาเจอสิ่งใหม่หล่นบนถนนและขอบทางเดิน นั้นคือ เมล็ดมะขาม บนถนนมีร่องรอยโดยทับหลายฝัก เดินผ่านก้มลงหยิบกลับบ้าน วันละฝักสองฝัก แรกๆๆ เก็บมาแล้ว ด้วยความเหนื่อยหลังจากเดิน เมื่อมาถึงบ้านมักจะใช้วิธีโยนลงในถังน้ำ จะว่าถังไม่น่าจะใช่ น่าจะเป็นกาละมังเล็กๆๆ ใส่น้ำไว้สำหรับให้ พวกใอ้ตลาด (มันคือมาจรจัดเจอที่ตลาด เลยให้เกียรติมันโดยตั้งชื่อว่าตลาด) และ ให้แกร็ก ได้กินน้ำเวลามันร้อน โยนลงน้ำเสร็จไม่ได้สนใจอีกเลย
หลังจากนั้น ในวันต่อๆๆ มาเก็บมาอีกครั้ง แต่คราวนี้พัฒนาการขึ้น จากเดินก้มลงหยิบแล้วถือมาด้วยมือข้างละฝักสองฝัก ตอนหลังๆๆ เอาใหม่ ในระหว่างเดินขาไป ใช้สายตากวาดดูรายทางเป็นระยะ ดูว่ามีถุงพลาสติก ที่สะอาด สวยๆๆ ตกหล่นอยู่บ้างใหม่ หากเจอจะไม่เก็บก่อน แต่หมายตาไว้ เมื่อเดินทางลงจากหัวควนขากลับ แวะหยิบถุงที่หมายตาไว้ด้วย หลังจากได้ถุงมา การเก็บแต่ละคร้งได้หลายฝัก
การเก็บครั้งนี้มีความตั้งใจสูงขึ้น ไปเห็นที่เขาปลูกไว้บนควน เป็นแถวสวยงาม เดินมโนใจว่า หากทางเข้าสวนเล็ก ปลูกไว้สองฝั่งทางรถวิ่งหรือทางเดิน เมื่อมองไปแล้วมันเป็นอุโมงค์ต้นมะขามมันคงจะสวยงามน่าดู ยิ่งพอได้ข่าวว่า ต้นมะขามที่ถืออยู่ในมือเป็นมะขามที่เขาเรียกว่า มะขามดาน ต้นมันจะใหญ่มาก ยิ่งอยากปลูกอยากเห็นมันโตเร็ว ๆๆ
เช้าวันนั้นพอรู้คุณค่าของมัน กลับจากเดินพร้อมถุงใส่เมล็ดมะขามที่เริ่มเห็นความสำคัญ ถึงบ้านรีบไปหาดินมาใส่ถุงดำขนาดใหญ่ แล้วเอาเมล็ดมะข้ามไปโรยทิ้งไว้ แต่ไม่ได้เอาดินกลบ เคยเจอหากเอาดินกลบกว่ามันจะดันลำต้นขึ้นมาได้มันนาน สู้ทิ้งไว้ แต่โรยดิน ให้ดินยึดไว้เล็กน้อย กันไม่ให้เมล็ดมันเคลื่อนตัวไปมาเวลารดน้ำดีกว่า
หลายวันผ่านไป ในส่วนที่เอาเมล็ดมาแช่กระลามังไว้ น้ำเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ ไอ้เกร็ก ก็ไอ้ลาดเริ่มมีปัญหา มันไม่กล้ากิน ด้วยความขี้เกียจ จัดการเอาสองเท้ากดให้กาละมังคว่ำ ให้น้ำออกหมด เปลี่ยนน้ำใหม่ ส่วนเม็ดมะขามที่ตกลงพื้น ไม่ได้สนใจต่อ คือว่าน่าจะเน่าเสียแล้ว ทิ้งไว้ข้างกาละมังอย่างนั้น
ผ่านไปหลายวันอีกครั้ง ฝนตก ดูสภาพการณ์แล้ว ฝนน่าจะตกในส่วนเล็กด้วย แม้มันจะห่างกันประมาณ 1 กม.กว่า อย่างที่เขาบอกแล้วฝนตกไม่ทั่วฟ้า อย่าไปเชื่อแม้จะห่างกันแค่ 1 กม. ว่าจะตกเหมือนกัน เอาให้ชัดให้แน่ใจ ขับรถไปดูดีกว่า เป็นอันว่าคาดการณ์ไว้ไม่ผิดพลาด ในส่วนเล็กมีฝนตกแต่ประปราย เมื่อเดินดูในพื้นดินยังไม่มีน้ำ สรุป ยังปลูกไม่ได้ หากปลูกน่าไม่รอดจากความแล้ง
แต่อย่างหนึ่งที่ได้คือ ฝนน่าจะเริ่มทยอยตกบ้างแล้ว ในใจคิดว่าต้องเตรียมพันธ์มะขามที่เพาะไว้ เอามาปลูก
กลับมาดูมะขามที่เพาะไว้อย่างดี นั้นคือใส่ถุงดำไว้ มีดินอย่างดีและรดน้ำบ่อย เห็นแล้วตกใจ มันงอกแค่ 2 ต้น หาสาเหตุว่าทำไม ไม่น่าจะผิดพลาดขนาดนั้น ส่วนที่ใส่กาละมังแล้วเปลี่ยนน้ำและทิ้งไว้บนพื้นปูซิเมนต์ แปลก มันเริ่มมีรากงอกออกมาจากเมล็ด
มานั่งพิจารณาถึงสาเหตุ ทำไมมันแตกต่างกัน ได้ผลออกมาว่า ที่ใส่ถุงดำนั้น ไม่รอด ส่วนมากเพราะว่า เมล็ดโดน อยทากเจาะกินหมด ส่วนที่ใส่กาละมังได้ มันเข้าสูตรตามที่นักเลงปลูกต้นไม่เข้าแนะนำ คือแช่น้ำก่อนสักคืน แต่นี้แช่หลายคืน มารู้จาการวิเคราะห์อีกทีว่า มะขาม เมล็ดมันเปลือกแข็ง ที่แช่ไว้หลายคืนแล้วไม่เน่า เพราะเปลือกมันช่วยไว้ เมื่อเอามากองบนพื้นยังมีความชื้นจากบริเวณที่เมล็ดหล่นอยู่มันเลยงอกขึ้นมา
สรุป ได้ความรู้ใหม่ว่า ต้องแช่น้ำก่อนเพื่อให้เปลือกมันอ่อนตัว หลังจากนั้นปล่อยให้มันแห่ง เมื่อแห้งแล้วนำไปไว้ในที่มีความชื้นเหมาะสม ไม่นานเมล็ดมันจะงอกออกมาเอง สิ่งนี้แหละที่เขาเรียกว่าประสบการณ์และความสังเกต บางสิ่งหรือส่วนมาก นักประดิษฐ์ พบได้ด้วยความบังเอิญ
editor's pick
latest video
news via inbox
ต้องการรับข้อมูลข่าวสาร