บาดแผลลึกๆๆ
บาดแผลลึกๆๆ
เริ่มดูแลสุขภาพ สิ่งแรกเลย คือหาหมอฟัน เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก กลัวเจ็บก็กลัว แต่มันคือต้นธารของสุขภาพ หากฟันไม่ดี มันมีความหมายถึงการเคี้ยวไม่ละเอียด เมื่อเคี้ยวไม่ละเอียด สิ่งที่ตามมาคือระบบย่อยอาหาร เมื่อระบบย่อยอาหารไม่ดี มันตามมาอีกหลายเรื่อง เช่น ท้องผูก มีกลิ่นปาก กินอะไรไม่ค่อยได้ และหลายสิ่งหลายอย่าง สุดท้ายมันจะลงมาที่ภาพรวมทั้งหมด คือ สุขภาพ
เมื่อคิดแล้วก็ลงมือทำ การทำงานทุกอย่าง สิ่งที่มันยากที่สุดคือการเปลี่ยนความคิดในหัวสมองของเราออกสู่แนวทางในการปฎิบัติ นั้นก็คือการเริ่มนับเลข 1 จากเดิมเป็นเลข0 มาตลอด แต่ พอเริ่มนั้นเลข 1 มันคือการเริ่มและ อย่างที่บอกเป็นสิ่งที่ยากที่สุด แต่หากเราเริ่มนับแล้ว ไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ง่าย ๆๆ รอแต่ปรับแต่งแก้ไข แก้ปัญหา เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่เราต้องการ
การเริ่มนับ 1 เลยเริ่มจาก ตรวจสุขภาพในช่องปาก การหาหมอฟัน มันค่อยข้างจะยุ่งยากนิด เพราะไม่ทราบไม่รู้ว่าควรจะไปหาหมอฟันที่ไหนดี เลยขอคำแนะนำจากเพื่อนที่เป็น หัวหน้าพยาบาล จนได้ข้อมูลมา
หมอฟันคนแรกคิวยาวมาก ต้องรอประมาณสองอาทิตย์ ติดต่อไปอีกคน หมอฟันเดินทางไป กทม. กลับมาอีก อาทิตย์ถัดไป และคนนี้ เพื่อนก็แนะนำด้วย เลยรอ
เมื่อถึงวันที่มีคิวก็เข้าไปตรวจสุขภาพ นั้นเท่ากับเรานับ 1 แล้ว เพราะเมื่อพบหมอฟันแล้ว หลังจากนั้น หมอฟันจะเป็นคนนัดเอง ว่าจะให้มาตรวจวันไหน ตามที่หมอฟันได้วางแผนในการรักษาให้
หลังจากพูดคุยประสานกันทางมือถือจนมีข้อสรุปถึงวันที่มีคิวแน่นอนแล้ว ก็มาถึงวันนัดที่จะต้องไปพบหมอฟันครั้งแรก
ด้วยความกลัว ตื่นเต้นเมื่อนึกถึงขั้นตอนการฉีดยาชา กับตอนที่หมอเคลียร์ฟัน เลยวางแผนไปแต่เช้า ด้วยความตื่นเต้น และได้บอกคนที่บ้าน คือเมีย หรือภริยา หรือแฟน นั้นแหละ แล้วแต่ว่าเขาจะเรียกกันอย่างไร ว่า เดี่ยวจะไปหาหมอฟันหน่อย
ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งสวนกลับมาว่า จะให้น้องไปเป็นเพื่อนไหน เป็นคำถามแบบเกรงใจ เหมือนจะถามว่าจะให้ไปด้วยหรือไม่ให้ไปก็ได้
เลยบอกไปว่า ก่อนไปหาหมอฟัน น่ามีภารกิจหลายอย่างเช่น ไปร้านหนังสือ หาหนังสือมาอ่าน อาจจะใช้เวลามาก ไม่ใช่หาหมอฟันอย่างเดียว
ได้รับการตอบกลับมาว่า ไม่เป็นไร น้องรอได้ น้องว่าง เดี่ยวน้องไปด้วย
ตอนหลังมาทราบว่าจากคนที่บ้านว่า ลูกเป็นห่วงกลัวว่า เมื่อหาหมอฟันเสร็จ ตอนขับรถกลับบ้านคนเดียว เกรงว่า ยาชาที่หมอให้ อาจจะมีผลขณะขับรถ เพราะดูเวลานัดของหมอฟันแล้ว กว่าจะเสร็จก็น่าจะค่ำ กับลูกก็เพิ่งผ่านขั้นตอนการจัดฟันมา และเข้าใจดีถึงความเจ็บปวดของขั้นตอนการเคลืยร์ช่องปาก ด้วยความเป็นห่วงจึงขอไปเป็นเพื่อน
ออกเดินทาง
เมื่อจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างเสร็จสรรพ ก็ออกเดินทางไปยังเป้าหมายพร้อมลูก ระหว่างเดินทางไป ก็มีการพูดคุยทั่วไปหลายเรื่อง จนกระทั่งมาเจอคำถามหลายคำถาม และมันมีสิ่งหนึ่งที่วาบเข้าในความคิด
นั้นคือความคิดเกี่ยวกับบาดแผลของจิตใจ ที่ฝังลึกเกือบทุกคน รวมทั้งตัวเองด้วย หรือหากมองในมุมหนึ่งคือ มันคือสิ่งที่เกิดที่เรียกว่าปมด้อย
มันแยกเป็นส่วน ปมด้อยในตัวเองในวัยเด็ก หรือจากความไฝ่ฝัน แต่ไม่ได้อย่างที่ไฝ่ฝัน
หรือปมด้อย ที่เกิดขึ้นเมื่อโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว จากสถานะของสังคม ของคนๆๆ นั้นว่าอยู่ในสภาพแวดล้อมใด เป็นตัวสร้างให้เกิดปมหรือบาดแผลขึ้นมา
บาดแผลนั้น ถูกกรีด ถูกสร้างมาจากปมของตัวเอง หรือถูกสร้างมาจากสังคมรอบข้าง ที่เกิดขึ้นภายหลัง มันแล้วแต่ว่าบาดแผลของแต่ละคนเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่บาดแผลนั้น มันเกิดขึ้นแล้ว ฝังลึกอยู่ภายในรอได้รับการเยียวยา เพื่อรักษาบาดแผลนั้น
แต่ มันก็แปลกบาดแผล บางบาดแผล หากคนที่รู้ทันมากจะรักษาได้ง่ายและเข้าใจวิธีการรักษาอย่างดี บางคนได้รับการรักษาด้วยบังเอิญ บาดแผลชนิดนี้ ส่วนมากเป็นจะเป็นบาดแผลที่ไม่ได้ถูกสังคมหรือคนรอบข้าง สถานะทางสังคม สร้างรอยแผลนั้นขึ้นมา
แต่บาดแผลนั้น ต้องเกิดจากความคิดของตัวเอง ความฝัน ความต้องการของตัวเองจริงๆๆ ไม่ใช่เกิดขึ้นเพียงเพราะต้องการสร้างสถานะให้ตนเอง ให้มีการยอมรับสถานะทางสังคม
มาลองวิเคราะห์ ปมหรือบาดแผลเล็กของตัวเอง ท้้งปมในวัยเด็กและปมทางสภาพภาพของสังคมที่เกิดขึ้น
ปมในวัยเด็ก หรือบาดแผลที่อยากเป็น ความฝัน แต่ทำไม่ได้
จากการวิเคราะห์บาดแผลลึกๆๆ ของตัวเอง ความฝันคือการจบวิศวะ มันคือความคิดของวัยเด็ก แต่ไม่สามารถทำตามความฝัน ทั้งที่ มีเวลา ไม่เกิน 2 ปี ก็ได้ตามความฝันแล้ว
แต่เนื่องจากความหักเหของชีวิต ประกอบกับพ่อแม่บอกว่า ได้อะไรก็เอาไปก่อน เพื่อให้คนครอบครับ สบายใจ ก็ดำเนินชีวิตในทางที่ไม่สามารถเดินทางความฝันได้ ตอนหลังถึงแม้ว่า มันได้ปริญญาตรีก็จริง แต่มันไม่ใช่ในสิ่งที่เขาเรียกว่า วิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นปริญญาตรีเช่นกัน แต่เรียกเป็นอย่างอื่น
นั้นคือบาดแผล หรือปม ที่อยากเป็น อยากได้ แต่ที่ทำไม่ได้ มันเริ่มขีดเป็นเส้นในหยักความคิดของเราแล้ว พร้อมที่จะทำทุกอย่าง เพื่อปิดบาดแผลนั้น เพียงแต่จะหาใครมาเป็นคนที่เราสั่งการให้เขาทำ ให้เขาเดินเพื่อปิดรอยบาดแผลตรงนั้น
พิมพ์มาถึงตอนนี้ หากมีครอบครัว คงนึกออก ว่าใครคือคนที่ต้องรับแรงกดดันจากเพื่อร้กษาบาดแผลนี้ จากคนที่มีอำนาจสั่ง เพราะคำว่า กตัญญู มันชี้มาว่าต้องทำ
ต่อมา เมื่อทำงานแม้ว่าจะเป็นเส้นทางที่ฝืนความรู้สึกบ้าง เพราะมันไม่ใช่วิศวะ ตามที่เราต้องการ และภาระทางบ้านเมื่อมีครอบครัว ก็ทำให้ดีที่สุด แต่ความคิดเรื่องวิศวะ ยังเป็นบาดแผลลึกๆๆ ในใจ จะเรียนต่อเพื่อเอาให้ได้ตามความฝัน แต่จังหวะชีวิต เวลา และการนำมาใช้งาน ไม่สามารถจะทำได้
เลยใช้วิธีการเรียนด้วยตนเอง แม้มันจะทำได้ตามที่ต้องการที่ฝัน แต่มันไม่มี กระดาษที่เขียนพร้อมตัวอักษร เพื่อยืนยัน Cert ตัวเอง นัั้นคือบาดแผลแรกที่ เกิดจากความฝัน
ปมหรือบาดแผลที่เกิดจากสภาพแวดล้อม จากสถานะของสังคม
จากปมด้อยที่อยากทำ อยากเป็น แต่ชีวิตมันมีเหตุจำเป็นแลต้องทำ ด้วยเหตุผลของตัวมันเอง ทำให้ต้องหักเห มาทำงานด้านอื่น บทบาทการทำงาน จากเส้นทางที่เราเดินมาในสายงานใหม่ จากที่เราไม่ได้เตรียมตัว ว่าจะมาสายงานนี้ และไม่นึกไม่ฝัน ว่าจะเดิน
สุดท้าย ก็เกิดบาดแผลใหม่ แต่ไม่ลึก เพราะมันเป็นบาดแผลทางสังคมที่ให้มา จากที่เขามองมาในตัวเรา ที่สำคัญคือความคิดของเราเองเป็นตัวสร้างมันขึ้นมาในเชิงเปรียบเทียบกับคนอื่น เนื่องจากสถานะมันอยู่ในชนชั้นที่ต่ำสุดขององค์กร
จากการแก้ปัญหา หรือรักษาบาดแผลที่เกิดขึ้น ก็พยายาม ปรับสถานะตัวเอง เพื่อยกระดับสภาพภาพทางสังคมให้เป็นที่ยอมรับ เพื่อปิดบาดแผลที่สังคมสร้างขึ้นมา
สุดท้าย ก็เริ่มมาคิดว่า มันคือบาดแผลที่เราต้องการรักษา แต่ไม่ได้มองมุมกลับที่อาจจะสร้างหรือมีสิ่งแทรกซ้อนที่เราไม่ต้องการเกิดขึ้นมาได้ อย่างคาดไม่ถึง
อย่างแรก ทางบ้านบอกว่า หากคิดแต่ปรับสถานะตัวเอง แต่ไม่นึกถึงสถานะภาพของครอบครับ สิ่งที่จะตามมาคือปัญหา จะต้องมีการสร้างครัวขึ้นมาก อย่างน้อย 2 ครัว
นั้นคือครอบครัวหลัก ที่ต้องมีครัว ขณะเดียวกัน เมื่อต้องการปรับสถานะภาพตนเอง จะต้องมีที่ทำงานใหม่ และนั้นคือหมายความว่าต้องสร้างครัวขึ้นมาอีก 1 ครัว อาจจะเป็นครัวที่ต้องทำเอง หรือซื้อมากินเองก็ตาม รายจ่ายต้องเพิ่มขึ้น เพราะกลัวมาเพิ่มอีกครัว
และปลายทางก็ไปไม่สุด เพราะต้นทาง หรือแหล่งที่มาส่วนมามันไม่ใช่เสาหลักขององค์กร มันเป็นเพียงไม้ประดับเพื่อความสวยงาม หรือเพื่อเอาไปวางในจุดที่ขาดอยู่ ให้มันดูสมดุล แค่นั้น ไม่สามารถเป็นเสา เพื่อจะต่อเติมส่วนอื่นๆๆ เพิ่มเติม เพื่อทำให้มันสูงขึ้นไปได้
ทำไม ไม่คงอยู่ในสถานภาพ ณ ตอนนี้ ลักษณะนี้ เป็นตัวตนที่ยืนในรูปแบบที่เป็น อย่าเอาบาดแผลหรือปมด้อย ที่สังคมมอบให้ แล้วมาผลักดันตัวเอง เพียงเพื่อให้คนอื่นยกยอแล้วยอมรับเรา แต่ ให้เราเปลี่ยนใหม่ สร้างศักยภาพใหม่ ดีกว่า
นั้นคือบาดแผลที่เกิดจากสังคม
แต่บาดแผลนี้ ไม่ลึกมาก แต่มันก็เป็นบาดแผล ส่วนมาก แต่หากคนไหนรู้ไม่ทัน มันอาจจะเป็นบาดแผลที่ลึกมากๆๆ และเขาจะพยายามรอเวลา รอโอกาสเพื่อเยียวยา
และส่วนมากมาก บาดแผลหรือปมนี้ คนที่ได้รับแรงกระทบมากที่สุด คือลูก
เพื่อปิดปมด้อยตัวเอง หรือบาดแผลตัวเอง บางคนจะเริ่มวางกรอบ วางเส้นทางการเดินของลูก กำหนดชีวิตของลูก ทำอย่างไร ก็ได้ โดยมีเป้าหมายคือรักษาปมด้อย หรือบาดแผลให้กับตัวเอง ขณะเดียวกัน มักจะหาข้ออ้างว่า เพื่อต้องการให้ลูกประสบความสำเร็จในชีวิต ทั้งที่ ส่วนหนึ่งมาจากบาดแผลในใจของตัวเอง
บาดแผลที่เกิดจากความฝัน ความคิดของตัวเอง มันไมน่ากลัวเท่า บาดแผลที่เกิดจากสังคมมาขีดเขียนให้เป็นรอยแผล
เพราะรอยแผลที่เกิดจากความฝัน มันส่งต่อกันได้ ระหว่างพ่อแม่และลูก มันไม่ใช่บาดแผลที่เกิดจากสังคม บาดแผลที่เกิดจากสังคมคือการต้องการ เพียงพอให้สังคมยอมรับ แต่มันไม่ได้เกิดจากความฝัน ความคิดของตัวเอง มันไม่ได้ฝังใน Dna ที่สามารถถ่ายทอดกันได้
แต่เชื่อว่า รอยแผลที่เกิดจากความฝัน มันสามารถรักษาหรือปิดแผลนั้นได้ จากถ่ายทอดกันได้นั้น เพราะประสบด้วยตัวเอง
แต่ บาดแผลที่เกิดจากสังคม ความต้องการทางสถานะสร้างให้เกิดบาดแผล อาจจะทำได้ แต่มันจะสร้างบาดแผลตัวใหม่ขึ้นมาคือบาดแผลภายในครอบครัว
หลังจากคุยในวาบความคิดนี้ กับลูก แม้จะยังไม่หมดเนื้อหาและสิ่งต่างๆๆ ที่ต้องการจะสื่อ ก็พอดี มาถึงเป้าหมายพอดี
แต่ก็คิดว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ลองคิดดูว่า จริงไหม
อ่านจบแล้วลองนึกว่า ปมของเรามีอะไรบ้าง ปมด้อย หรือบาดแผลที่มีเป็นบาดแผลที่อยากทำแต่ไม่ได้ทำ ฝันแต่ไม่เป็นจริง หรือเป็นบาดแผลที่สังคมสร้างให้เรา แล้วเราพยายามจะปิดบาดแผลตัวนี้
ให้ศึกษา และระวังให้ดี เพราะ หากไม่เข้าใจ มันอาจจะสร้างบาดแผล ให้กับครอบครัว และบาดแผลให้กับลูก สร้างความแตกแยก ระหว่างการสื่อสารของบุคคลในครอบครัวได้
editor's pick
latest video
news via inbox
ต้องการรับข้อมูลข่าวสาร