ประสบการณ์ส่องกล้อง

Last Updated: 15/08/2023By Tags:

ประสบการณ์ส่องกล้อง

มาเล่าสู่กันฟังเรื่อง ประสบการณ์ส่องกล้องกระเพาะอาหาร

เมื่อวานเดินทางไปส่องกล้องกระเพาะอาหาร เอาประสบการณ์มาเล่าให้ฟัง แต่ก่อนอื่น อยากให้คนที่เข้ามาอ่าน อย่าเพิ่งตัดสินว่าเป็นแบบนี้ทุกอย่างวิธีการอาจจะแตกต่างกัน แล้วแต่ความชำนาญของหมอ และจำนวนคนใข้รวมทั้งองค์ประกอบอื่นๆๆ อีกหลายอย่าง แต่ที่เล่าให้ฟังแค่ประสบการณ์ที่เจอด้วยตัวเอง

ในกรณีเคสของตัวเอง หมอค่อนข้างจะชำนาญ เลยดำเนินการได้เร็วและค่อนข้างจะดิบๆๆ ไปนิด หากเปรียบเทียบกับการรีวิวของคนอื่นในพันทิพ หรือที่อธิบายทั่วไปในอินเตอร์เน็ต หรือบางทีเขารีวิว เพราะเป็น รพ.เอกชน ซึ่งแน่นอนอยู่แล้ว ต้องราคาแพง

ก่อนลงลึก ขอสรุปวิธีการคร่าวๆๆ ให้ฟังก่อน

วิธีการของหมอในกรณีเคสที่ไปส่องกล้องที่ รพ.มหาราช นครศรีธรรมราช เขาจะใช้วิธีการเรียกคนที่ส่องกล้องให้เปลี่ยนเสื้อผ้าหน้าห้องส่องกล้องก่อน หลังจากเปลี่ยนผ้าเสร็จให้รอในบริเวณห้องหรือหน้าห้องที่จะทำการส่องกล้อง โดยจัดเก้าอี้ให้นั่ง หลังจากที่เรียกรายชื่อแต่ละคน ในตอนนั้นดูเวลาแล้ว น่าจะประมาณ บ่ายโมง หลังจากนั่งรออยู่ประมาณ 2 ชม. ซึ่งหากใครชำนาญเกี่ยวกับการติดต่อใน รพ. คือว่าไม่ต้องรีบก็ได้ ให้มาถึงประมาณ เที่ยงกว่าๆๆ น่าจะได้ เพราะไม่ต้องรอนาน

แต่สิ่งที่ต้องทน ไม่ใช่เพราะรอเวลา แต่ มันต้องทนเพราะเกิดจากความหิวมากกว่า โดยเฉพาะหิวน้ำ มันหิวมากๆๆ แต่กินไม่ได้ และในระหว่างนั่ง จะนั่งอยู่หน้าห้องเล็กๆ แต่มีประตูสำหรับเข้าห้องใหญ่ น่าจะเป็นห้องผ่าตัด สิ่งที่ได้เห็นและสอนเราหลายอย่างคือเรื่องสังขาร ร่างกาย เพราะมีรถเข็น เข็นคนป่่วยเข้าห้องผ่าตัด และออกจากห้องผ่าตัดตลอดเวลา

มันทำให้เราฉุกคิดได้ว่า ร่างกายของเราคือทุกสิ่ง หากร่างกายของเรามีปัญหา หมายความว่า หลายสิ่งหลายอย่างมันเกิดขึ้นได้ โดยที่เราไม่ต้องการ แต่ในท่ามกลางสิ่งนั้น มีสิ่งที่สวยงามอีกอย่างคือ ความผูกพันของคน หรือมนุษย์ เพราะจะมีคนมานั่งรอเพื่อให้กำลังและเป็นห่วงกันจำนวนมาก เอาเป็นว่า ค่อยเล่าอีกที

มาเข้าเรื่องการส่องกล้องกันต่อ หลังจากที่เรียกชื่อของผู้ที่จะส่องกล้องไปเปลี่ยนผ้าในห้องน้ำซึ่งอยู่หน้าห้อง ส่องกล้องแล้ว (ขั้นตอนนี้ อย่าไปคนเดียวเพราะมันจะลำบากตรงสิ่งของที่ติดตัวมา )

ขั้นตอนการสองกล้อง

หลังจากเปลี่ยนผ้าเสร็จเดินเข้าไปหน้าห้องส่องกล้อง ลักษณะจะเป็นคล้ายระเบียง แล้วมีห้องเปิดเข้าไปเป็นห้องๆๆ อีกทีหนึ่ง หน้าห้องจะเขียนว่า ห้องส่องกล้อง ในตอนนั้นแหละ พยาบาลได้ถือยาชามา แล้วฉีดยาชา ลักษณะเป็นขวดสเปร์เข้าไปบริเวณลำคอ สิ่งแรกที่สำผัสได้คือความขม และความเค็ม  พยาบาลบอกให้นับ 1-5 ให้ค้างที่ลำคอก่อนจะกลืนลงไป  ไม่นาน สิ่งที่เจอคือในลำคอแทบจะไม่มีความรู้สึกอะไรเลย

หลังจากนั้น แพทย์จะเรียกเข้าไปทีละคนเพื่อส่อง ก่อนขึ้นไปนอนบนเตียง มีการฉีดสเปร์ยาชา ในลำคออีกครั้งแต่ไม่มาก ครั้งนี้ แทบไม่รู้สึกอะไรแล้ว  ฉีดสเปร์ยาชาเสร็จ แพทย์ให้ขึ้นไปนอนบนเตียงแล้วให้นอนตะแคงซ้าย ก้มหัวลงต่ำนิดหน่อย เอาถุงมารองให้น้ำลายลงใสถุงนั้น และแพทย์บอกห้ามกลืนน้ำลายเพราะมันจะฮ้วก

หลังจากนั้น แพทย์ได้สอดที่ส่องกล้องลงไป มันรู้สึกได้ว่ามีเส้นส่องกล้องอยู่ในลำคอ มีอาการจะอ้วกตลอดเวลา นั้นคือช่วงที่มีปัญหานิดหน่อย ส่วนสิ่งอื่น เช่นความเจ็บปวดต่างๆๆ ไม่มี  หากเราทำใจให้นิ่งและอย่ากลืนน้ำลาย มันจะไม่มีปัญหา แต่น่าว่าจะทำไม่ได้ เพราะมันคอยจะฮ้วกตลอดเวลา

แต่ใช้เวลาไม่นานแพทย์ถอดสายที่ส่องกล้องออก อาการต่างๆๆ หายไปแทบไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เป็นอันว่าเสร็จภารกิจในการส่องกล้อง

ในเวลาในการส่องกล้องประมาณ 5 นาที แต่กว่าจะส่องกล้องได้ มันเป็นเหตุการณ์ที่แทบจะไม่ลืมไปเลย เริ่มจากตื่นเช้าขึ้น ต้องรีบกินข้าวกินน้ำให้เสร็จสิ้นก่อนเวลา 07.00 น. หลังจากนั้น ห้ามกินข้าวกินน้ำหรืออะไรทั้งสิ้นลงไปในท้องเด็ดขาด

ต้องวางแผนเตรียมการหลายเรื่อง

สิ่งแรก ที่จอดรถ หากหาที่จอดรถใน รพ.มหาราช  น่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด มีทางเดียวต้องฝากรถไว้กับที่รับฝากจอดรถแล้วก็เดินเข้า รพ. นั่งคิดว่าจะเอาอย่างไรดี สุดท้าย คนที่บ้านบอกว่า ไปจอดรถโลตัส เพราะอยู่ไม่ไกลแล้วค่อย ขึ้นรถสองแถวไป รพ.

หากเป็นไปตามแปลนนั้น น่าจะลำบากนิด ต้องรอรถสองแถว 2 ตอน ตัดสินใจไปรถมอเตอร์ไซต์รับจ้าง

มันเจอจนได้ พวกที่ชอบหลอกคนอื่น มอเตอร์ไซต์รับจ้าง ไปกันสองคัน แต่คันที่คนที่บ้านนั่งคิดแค่ 30 บาท แต่คนที่นั่งคิด 40 บาท อ้างว่า ต้องขับรถอ้อม คนที่บ้านเลยตัดสินใจให้มอเตอร์ไซต์ที่นั่งมาด้วยไป 40 บาท ด้วย เพื่อให้เท่ากัน หลังจากนั้น เขาบอกให้จดเบอร์โทรเขาไว้แล้วบอกจะมารับ

เลยขอเบอร์ แต่ในใจคิดว่า น่าไม่โทรไปแล้ว เล่ห์เหลี่ยม มันเยอะ

เข้า รพ.มหาราช หลังจากที่ไม่ได้เข้ามาเกือบ 20 ปี มีการเปลี่ยนแปลงมาก เนื่องจากพื้นที่จำกัดการก่อสร้างเลยต้องยกขึ้นข้างบนอย่างเดียว นั้นคือยกตึกให้สูงขึ้นการเดินทางแต่ละชั้นต้องใช้ลิฟต์ในการเดินทางหมด

มันวกวนซ้ำซ้อน ยิ่งกว่าเข้าเขาวงกต

แรกสุดเขาบอกว่าให้ไปทำบัตรก่อน ขึ้นไปห้องทำบัตรชั้น 2 (ที่รู้เพราะถามเขา) หันรี หันขวางว่าจะเอาอย่างไรดี เพราะในหน้าที่ทำบัตรมีจอบอก ลำดับคิวที่จะเข้าแต่ละช่อง  หันไปมองรอบข้างไม่เห็นมีตัวกดเพื่อเอาลำดับคิว มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาแนะนำและอธิบายว่า ต้องไปจุดเช็คชั้นล่างก่อน เพื่อเอาลำดับคิว ต้องขอบคุณที่เขาเข้ามาแนะนำ  มา ณ ที่นี้ด้วย

ว่าแล้วลงไปข้างล่างอีกครั้ง มองดูเวลา 10.15 นาที มีเวลาเหลือเฟือ ในบัตรนัดบอกให้ไปถึง 11 โมงเพื่อทำบัตร

ตัดสินใจไม่ใช่ลิฟต์ เพราะคนมากแค่ชั้นเดียวเดินบันไดดีกว่า  ลงมาถึงชั้นล่างสุด มีเขียนว่าจุดคัดกรอง แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ เช่นเดียว เลยหันรีหันขวางอีกครั้ง เดินไปเดินมา จนเจ้าหน้าที่มานั่งหน้าคอมพิวเตอร์  ไปยืนบัตรให้ ในระหว่างนั้นมีคนมาถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่กับคนที่มาถาม พูดจาสื่อสารกันคนละเส้นทางกันอีก มองแล้วได้แต่มีความรู้สึกว่า ทุกคนต่างมีทิฐิเป็นของตัวเอง ไม่รู้จะโทษไคร จะโทษเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้ เพราะแต่ละวันต้องพบปะคนจำนวนมาก ขณะเดียวกันโทษคนถามก็ไม่ได้ เพราะเขาก็ไม่รู้เช่นเดียวกับเรานั้นแหละ

ในใจคิดว่า น่าจะให้มีเจ้าหน้าที่คอยยืนตอบคำถามหรือ ให้มีใคร สักคน 2 คน นั่งตอบคำถามและให้คำแนะนำดีกว่า ให้เขาไปถามเจ้าหน้าที่  ที่กำลังยุ่งกับงานในหน้าที่ของตัวเอง แล้วโดนขัดจังหวะ เพราะมีคนมาถาม ถ้าจำนวนคนไม่มากไม่เป็นไร แต่ ต้องเข้าใจเจ้าหน้าที่ด้วย แต่ละวัน ถ้ามองดูคนที่เดินไป เดินมาแล้ว มีจำนวนมากๆๆ เลย

ถือว่า เขามีความเก่งพอตัวที่สามารถรับกับสถานการณ์ได้

ในขณะเดียวกัน ในมุมมองของคนถาม เขาอาจจะคิดว่า เขาแค่คนเดียวที่เข้าไปถาม แต่ในความเป็นจริงมีคนถามเยอะเพราะไม่รู้ อย่างที่บอกแล้วว่า เข้ามาถึง มึนงง ไปหมด ไม่รู้ว่าจะไปซ้ายหรือไปขวา หรือว่าเริ่มต้นตรงไหนดี

เข้าใจทั้งสองฝ่าย

หลังจากยื่นบัตร ที่แพทย์ที่คลินิค ให้มา เขาออกบัตรคิวให้พร้อมกับบอกสถานที่ ที่จะต้องไป  เมื่อได้บัตรคิวแล้วเดินขึ้นไปชั้น 2 อีกครั้งเพื่อทำบัตร ขณะเดินไป ดูหน้าจอปรากฏคิวขึ้นมาพอดี รีบเดินไปยื่น เพื่อขอทำบัตร เจ้าหน้าที่ก็พูดจาดี มีการตอบคำถามรายละเอียดต่างๆๆ เสร็จ ได้บัตรมาเรียบร้อย

มองดูในบัตรบอกว่า ให้ไปชั้น 5 อาคารวินิจฉัย ด้วยความรีบและความงง และความสับสน เลยไม่รู้ว่าตึกนั้น เป็นตึกอะไร เข้าใจว่าตึกที่ทำบัตรนั้นเป็นตึกที่แพทย์นัด เลยขึ้นไปชั้น 5 ปรากฏว่าขึ้นไปถึงเป็นชั้นที่เกี่ยวกับการรักษาอาการของเด็ก  เดินวนหลายรอบแล้วหาไม่เจอ

ในจังหวะเดียวกันนั้นเอง เจอพนักงานเปลที่กำลังจะไปส่งคนไข้ เลยถามเขาอีกครั้ง เขาบอกว่าให้ไปที่ตึกอีกตึก พร้อมชี้ไปให้ดู แม้ว่าดูแววตา เขาไม่ค่อยเต็มใจจะตอบ แต่เข้าใจเขา เพราะดูสภาพเขาแล้ว เหมือนกับว่ามีปัญหาเกี่ยวกับงานหรือมีปัญหาด้านอื่น หน้าตาเขาไม่ค่อยสดใส แต่ยังขอบคุณที่เขาตอบคำถามจนเข้าใจว่า ที่เรากำลังหาหรือเป้าหมายที่เราไป ไม่ใช่ ชั้น 5 ของตึกนี้ แต่เป็นชั้น 5 ของอีกตึก หันลงไปมองในบัตรอีกครั้งเขียนว่า ตึกวินิจฉัย (ชั้น 5 ) เป็นอันว่าเข้าใจ

ลงจากตึกดังกล่าวไปเพื่อยังตึกวินิจฉัย ให้ช่างบังเอิญ ถามน้องคนหนึ่งที่แต่งกายคล้ายพนักงานของ รพ. ว่าตึกดังกล่าวอยู่ ตรงไหน เขาบอกเส้นทางให้ แล้วสักพักเขาบอกว่า เขาจะไปตึกดังกล่าวด้วย ให้ตามเขาไปได้ เลยกล่าวขอบใจเขาแล้วตามหลังเขา จนเจอที่ตึกเขียนว่า ตึกวินิยฉัย เป็นอันว่าเจอตึกแล้ว หลังจากไปขอบใจเขาอีกครั้ง มองซ้ายมองขวา เพื่อหาลิฟต์ที่จะขึ้นไป หันไปเจอ เห็นน้องเขาขึ้นลิฟต์ไป พอดีแต่ไม่ทันแล้ว  เลยรอเพื่อกดลิฟต์ขึ้นชั้น 5

เป็นอันเข้าใจแล้วว่า เป็นตึกนี้ หลังจากนี้ให้ขึ้นตึกนี้ไปเพื่อไปชั้น 5  ตามเป้าหมาย ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้น 5 ออกจากลิฟต์ เห็นคนนั่งรอเต็มไปหมด

เอาอีกแล้วจะทำอย่างไรต่อ หันรีหันขวางเช่นเดิม มองไปทางซ้ายมือมีช่องเขียนว่าประชาสัมพันธ์ แต่มีกระจกกั้นอยู่ มองตรงไปด้านขวามือเป็นห้องกั้นกระจกเช่นกัน ในช่วงจังหวะนั้น เห็นน้องคนหนึ่งแต่งกายดี กำลังนั่งเล่นมือถือเลยเข้าไปถาม เขาบอกว่า เขาไม่รู้เหมือนกัน แต่ให้ลองเข้าไปถามในห้องประชาสัมพันธ์ดู เลยเดินไปถามรายละเอียดและยื่นบัตรให้เขา

สักพักเขาบอกเสียงห้วนๆๆ กลับมานิดๆๆว่า ให้ไปวัดความดันแล้วไปนั่งรอ เดินไปวัดความดันแบบงงๆๆ แล้วเดินหาที่ว่างนั่ง เพราะเขาไม่บอกอะไรเลยแค่บอกว่าวัดความดันแล้วให้ไปนั่งรอ

วัดความดันเสร็จออกมานั่งรอข้างนอก สักพักมีเสียงเรียกผ่านลำโพง  เพื่อเข้าไปพบเจ้าหน้าที่อีกครั้ง ครั้งนี้ เขาขอค่าความดันที่วัดแล้วเอาปลอกมือให้สวม พร้อมกับบอกว่าให้ไปนั่งรอข้างนอก อีกครั้ง

มานั่งรอข้างนอก ดูเวลาแล้ว 11 โมงพอดี คิดในใจว่า งานนี้ดูท่าจะยาว ข้าวกับน้ำไม่ได้กิน แล้วต้องนั่งรออย่างน้อย 2 ชม.กว่าๆๆ  แน่ๆๆ แต่ ทำอย่างไรได้ นั่งรอ อย่างเดียว พร้อมกับคิดในใจว่า ในตอนนี้ แหละได้ใช้วิชาเดิมอีกครั้ง ที่ไม่ได้ใช้มานานแล้ว นั้นคือการหลับนก คือนั่งหลับแบบไม่มีอาการ เป็นวิชาที่ได้รับฝึกฝนมาเป็นปี

ในตอนนั้นมีความสามารถนั่งหลับปิดตา หากไม่มองจากด้านหน้าจะไม่รู้ว่าหลับ ตาปิดแต่ตัวนั่งตรงแปะ ไม่มีอาการสับปหงกแต่อย่างใด นั่งหลับ เป็นระยะ สงสารที่คนที่บ้านที่มานั่งรอด้วยไม่ได้ไปไหนเช่นกัน

แต่หันไปมองรอบข้างมีคนในครอบครัวเช่นกันมานั่งรอเป็นเพื่อน บางคนเป็นลูก บางคนเป็นเมีย บางคนเป็นสามี ในความรู้สึกแม้ว่าจะหิวข้าว เหนื่อย แต่ในส่วนลึกๆๆ ได้เห็นสายสำพันธ์ความห่วงไยของคนในครอบครัว

แต่ นอกจากคนในครอบครัวแล้วสายสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นมาเองก็มี เช่นกัน ในที่นั่งเก้าอี้ตรงกันข้าม มีผู้หญิงสูงอายุมานั่ง ได้ฟังการพูดคุยรู้ว่าเขามาส่องกล้องเช่นกัน แต่คนที่มาเป็นเพื่อนและคอยดูแลพูดคุยคือลูกสะใภ้ของเขา ดูการปฎิบัติแล้วแทบไม่รู้เลยว่า เป็นลูกสะใภ้ ที่ได้รู้ว่าเป็นลูกสะใภ้ เพราะมีเด็กมาด้วย แล้วเด็กเรียกผู้หญิงสูงอายุคนนั้นว่า ย่า

นั่งสักพัก มีผู้สูงอายุคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับสามี คู่นี้แหละที่ทุกคนจดจำได้หมด ทั้งความน่ารักของสามี และเมีย คนเป็นเมียชื่อว่า ป้าเครือวัน เหตุที่จำได้เพราะมีเหตุการณ์หลายอย่างที่ประทับใจในความรักของของสามี เป็นคนสูงอายุทั้งคู่ แต่สามี เป็นคนนิ่งและน่ารักมาก เอาอกเอาใจป้าเครือวันทุกอย่าง หิ้วของให้เมียเต็มมือ พร้อมสายตาที่แสดงให้เห็นว่าเป็นห่วงเมียตลอดเวลา เดี่ยวจะเล่าให้ฟังอีกทีในเหตุการณ์ต่างๆๆ ที่ประทับใจในความหน้ารักของสามีป้าเครือวัน

นั่งมองชีวิตของคนที่มีใช้ชีวิตในวันนั้น และที่เห็นมากที่สุดคือมีการเข็นคนป่วยด้วยเปล ตลอดเวลา เห็นแล้วแพทย์ พยาบาล น่าจะเหนื่อยมากเลยในแต่ละวัน ถ้าดูตามจำนวนคนไข้ที่นอนบนเปล และมีการเข็นไปมาตลอดเวลา  ชีวิตคนเรามีแค่นี้เอง สุขภาพ น่าจะเป็นสิ่งทีสำคัญที่สุด

นั่งหลับนก ดูเวลาประมาณ บ่ายโมง ได้ยินเสียงเรียกชื่อหน้าห้องสำหรับส่องกล้อง ลุกขึ้นไปแสดงตัวต่อพยาบาล นอกจากตัวเองแล้วมีคนอื่นอีกรวมแล้ว 7 คน เป็นผู้หญิงสูงอายุส่วนมาก มีผู้ชาย 2 คน

พยาบาลเช็คจำนวนเสร็จ ได้แจกจ่ายเสื้อผ้า ให้เปลี่ยนแล้วไปนั่งรอในบริเวณหน้าห้องสำหรับส่องกล้อง เป็นเก้าอี้กพลาสติค ในตอนนี้แหละเห็นแววตาของความกังวลของแต่ละคน ไม่รู้ว่าเจ็บปวด หรือเป็นอย่างไรบ้าง

และในตอนนี้ เช่นกันที่ทุกคนได้รู้จักชื่อป้าเครือวัน  ป้าเครือวันเป็นผู้หญิง ตัวเล็ก แต่หากมองแล้วในตอนสาวๆๆ น่าจะเป็นสาวมั่นพอตัว หรือทำอะไรแบบไม่สนใจ ทำตัวแบบมึนๆๆ ไม่สนใจใคร

เมื่อพ่นสเปร์ ยาชาเสร็จ คนแรกที่ถูกเรียกตัวให้เข้าไปส่องกล้องคือป้าเครือวัน แต่ ปัญหามันเกิดตรงป้าเครือวัน ได้หิ้วอุปกรณ์ คล้ายๆๆ หมอเล็กๆๆ แต่ ไม่ใช่หมอน มันมีลักษณะเป็นกระเป๋าผ้า แต่รัดหัวรัดท้าย พาเดินเข้าไปในห้องส่องกล้องด้วย

พยาบาล เลยบอกว่า ให้ป้าเอาของสิ่งนั้นไปฝากไว้กับญาติก่อน  ป้าเครือวันเลยเดินออกจากห้องส่องกล้อง แทนที่จะไปฝากของไว้กับสามี กลับเดินเข้าห้องน้ำหายเงียบไปเลย จนพยาบาลเที่ยวหาให้กันให้มั่วไปหมดว่า ป้าเครือวันหายไปไหน  เที่ยวตะโกนหาว่า ป้าเครือวัน  นั้นแหละทุกคนเลยได้รู้จักป้าเครือวัน สุดท้าย รู้ว่าหายเงียบเข้าห้องน้ำไปแล้ว

พยาบาลต้องรีบแก้ปัญหาโดยให้คนอื่นเข้าไปแทน เพราะแพทย์พร้อมแล้ว แต่ป้าเครือวันหายไปแล้ว

หลังจากนั้นมีผู้สูงอายุคนหนึ่งเข้าไปแทนป้าเครือวันก่อน หลังจากคนนั้นส่องกล้องเสร็จเดินออกมา คนที่นั่ง ข้างๆๆ  ซึ่งเป็นผู้หญิงถามคนที่เพิ่งส่องกล้องเสร็จแล้วเดินผ่านออกมาว่าเจ็บไหม

คำตอบที่ได้ คือไม่มีการพูดอะไร แค่ครางออกมาในลำคอว่า เอื่อๆๆๆ ผลปรากฏว่าคนที่ถามและที่นั่งรอ ทุกคนมีอาการเดียวกันหมด คือตกใจและกังวล คิดว่าน่าจะเจ็บ  แต่ทำอย่างไรได้ มันต้องเข้าไปส่องกล้องทุกคน

ตอนหลังคนที่บ้านบอกว่า คนที่ส่องกล้องก่อนที่ทุกคนถามว่าเจ็บไหม เขามีสเลดในลำคอมาก เลยไม่ตอบไม่ได้ เพราะต้องรีบไปเข้าห้องน้ำ

หลังจากคนนั้นเสร็จ ถึงคิวป้าเครือวันที่กลับมาแล้ว พร้อมกับกระเป้าผ้า คล้ายๆๆ เหมือนใบเดิม   ทุกคนที่นั่งรอเลย บอกว่า พยาบาลให้เอาสิ่งนั้นไปฝากญาติ ได้รับคำตอบจากป้าเครือวันว่า เป็นอุปกรณ์สำหรับรองหลังเวลานั่งเก้าอี้ เนื่องจากมีปัญหาเกี่ยวสันหลัง

หลังจาก ป้าเครือวัน ส่องกล้องเสร็จ ถึงคิวเขาเรียกเลยเข้าไปในห้อง สิ่งแรกที่เจอคือเตียง มีคอมพิวเตอร์ แพทย์ยืนรออยู่ พยาบาลบอกให้นั่งแล้วพ่นสเปร์ยาชาเข้าลำคออีกครั้ง บอกให้ขึ้นไปนอนบนเตียงตะเคียงข้างซ้าย สักพักหมอเอากล้องสอดเข้าไปในปากในตอนนั้นแทบไม่รู้สึกอะไร แต่มารู้สึกตอนแพทย์บอกอย่ากลืนน้ำลาย พอแพทย์บอกปั้บกลืนน้ำลายทันที่  อาการที่เกิดคืออาการจะอ้วก

สักพักหายไป รู้ตัวว่ามีการขยับสายในลำคอ  แล้วทำท่าจะฮ้วกอีกครั้ง จนแพทย์บอกว่าใกล้สิ้นแล้ว อุ่นใจนิดหน่อย ทนอาการจะอ้วก อีกครั้งจนเสร็จ ออกจากห้องส่องกล้อง เดินฝ่านคนที่นั่งรอ เลยบอกเขาไปว่าไม่ต้องกังวลไม่เจ็บปวดแต่อย่างใดให้สบายใจ แต่ไม่บอกว่าจะมีอาการอ้วก กลัวเขาจะใจเสีย

ออกมาถึงเนื่องจากมีสิทธิ์ในการรักษาพยาบาล ทางพยาบาลเลยมาบอกให้ไปยืนยันสิทธิ์ในห้องยืนยันสิทธ์ ซึ่งอยู่ชั้นล่าง ใกล้กับห้องสหกรณ์เก่า เป็นทางเดินเก่าๆๆ เล็กๆๆ หากเดินลงจากตึกวินิจฉัย อย่าเดินไปยังห้องทำบัตร แต่ให้เดินตรงไปเพื่อเจตนาคล้ายๆๆ กับจะออกจาก รพ. จะเจอห้องดังกล่าวอยู่ขวามือ ยื่นบัตรประชาชนให้เขายืนยันสิทธ์ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย เอารายการดังกล่าวไปให้พยายาลผู้ทำหน้าที่ห้องส่องกล้อง

เป็นอันว่าเสร็จสิ้น หิวข้าว หิวน้ำมาก แต่ยังกินไม่ได้ เนื่องจากยาชายังคงทำงานอยู่ กินอะไรลงไปน่าจะไม่รู้เรื่องเลยตัดสินใจไม่กินดีกว่า ระหว่างเดินออกจาก รพ.มีคนมาออ กันเต็มหมดตรงประตูลิฟต์ สงสัยว่าทำไม คนมายืนกันมาก เลยเดินเข้าไปดู ปรากฏว่า คนมายืนเพื่อให้มีการตรวจสอบก่อนขึ้นไปยังตึกผู้ป่วยใน น่าจะเป็นเพราะต้องมีการคัดกรองกันมาก เพราะเกี่ยวเนื่องกับโควิด และเดี่ยวเนื่องกับความปลอดภัย

ออกจาก รพ.เพื่อกลับมายังโลตัส  หารถที่จะกลับ  คนที่บ้านบอกว่าไม่ต้องโทรไปตามมอเตอร์ไซต์รับจ้างเมือตอนเช้าอีก มันเล่เหลี่ยม มาก ตัดสินใจขึ้น มอเตอร์ไซต์หน้า รพ.กลับโลตัสไปยังที่จอดรถไว้

รอฟังผลที่คลินิคหมอ

ดูเวลา บ่าย 2  โมงกว่า ๆๆ แพทย์นัดฟังผล 5 โมงเย็น ดูเวลาแล้ว น่าต้องรออีก 3 ชม.กว่า  นั่งในโลตัสนั้นแหละดีที่สุดไม่ร้อน

นั่งเล่นเดินเล่น จนเวลาเกือบบ่าย 4 โมงเย็น คนที่บ้านบอกว่า น่าจะหาอะไรกินก่อน จะได้ไม่ต้องหากอะไรกินที่บ้านอีกในตอนเย็น นั่งคิดว่าจะกินอะไรดี สุดท้ายนึกได้ว่าร้านก๋วยเตียวอ้อมค่าย ตอนนี้ได้ย้ายมาเปิดที่บริเวณ สามแยกเฉลิมพระเกียรติ์ อยู่ไม่ไกลจากบริเวณนั้น จริงๆๆ แล้วมันอยู่ตรงกับ รพ.มหาราชนั้นแหละ เพราะ รพ.มหาราชอยู่ติดกับคลองคูพาย ร้านนั้นก็อยู่ติดคลองคูพายเช่นกัน แต่ห่างไปทางทิศตะวันออก

ออกจากโลตัสไปกินข้าวเลือดหมูเสร็จ ดูแล้วแล้ว ยังเหลือประมาณ 1 ชม วางแผนว่าจะเอาอย่างไรต่อดี ตัดสินใจเอารถมาจอดใน HomePro เพื่อจอดรถแล้วนอนเล่นในที่ร่ม ในจุดที่จอดรถอยู่ห่างจากคลีนิคหมอประมาณ 20 เมตร เดินเอาก็ได้ ดีกว่าไปเทียววนหาที่จอด ซึ่งคิดว่าน่าจะไม่มี

นั่งรอจนเหลือเวลาประมาณ ครึ่ง ชม.เดินออกไปยังคลีนิก สักพักพนักงานในคลีนิคได้มาเปิดแล้วมานั่งรอหมอ ในตอนนี้ แหละที่คนที่บ้านบอกว่าสามีของป้าเครือวัน น่ารัก

พอรถจอดหน้าคลินิคแพทย์ สามีป้าเครือวัน ให้รอในรถ ตัวเองลงไปจัดการเอาบัตรไปยืนวางคิวได้เรียบร้อย รอจนแพทย์เข้ามาที่คลีนิค สามีป้าเครือวันถึงได้ออกมาบอกให้ป้าเครือวัน ลงจากรถเพื่อไปรอในคลีนิคแพทย์

รอสักพักถึงคิวให้แพทย์บอกผลการส่องกล้องปรากฏว่า อาการปกติทุกอย่าง รับยาเสร็จกลับ ราคายาค่อนข้างติดแพง ประมาณพันกว่าบาท แต่คุ้มเพราะหลังจากกินยาดังกล่าวและรักษาดูแลเรื่องอาหารการกิน โรคกรดไหลย้อน แทบจะไม่ย้อนกลับมาอีกเลย และอีกอย่างได้ความสบายใจ เพราะในการส่องกล้องครั้งนี้ หมอได้ตัดเศษเนื้อในกระเพาะอาหารมาตรวจสอบด้วย ปรากฏว่าไม่พบสิ่งผิดปกติ

เสร็จภารกิจ

มันเป็นภารกิจที่เหนื่อยและเพลียมากเมื่อวาน แต่ได้เห็นอะไรมากมาย โดยเฉพาะความมีน้ำใจ ความอดทนของหมอ พยาบาล และความเห็นอกเห็นใจของคนที่ร่วมชะตากรรมเดียวกัน มันมีหลายสิ่งหลายอย่างที่แอบแฝงอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งดีๆๆ หลายอย่าง

สิ่งนั้น แทบจะไม่เจอเลยตอนไป รพ.เอกชน แต่ ใน รพ.มหาราช  แม้ว่าจะลำบากกว่า ร้อนกว่า คนมากกว่า แต่มันแฝงไว้ด้วยความมีน้ำใจ ความเห็นใจ พร้อมที่จะให้การช่วยเหลือกันตลอด แม้ว่าจะไม่รู้จักกัน ได้เห็นสัจจธรรมของชีวิตหลายอย่าง

แต่สรุป คิดว่าไม่ลืมตัวละคร แต่ละคนแน่นอน เพราะแม้ว่า บางคนเขาอาจจะไม่มีฐานะ แต่ความมีน้ำใจ การให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นสิ่งที่สวยงามมากในวันนั้น

news via inbox

ต้องการรับข้อมูลข่าวสาร

Leave A Comment