ออกวิ่งตอนเช้าฝนตก
ออกวิ่งตอนเช้าฝนตก เช้านี้ ตื่นขึ้นมาดูเวลาแล้ว 6 โมงเช้า แต่ มันแปลกคิดสงสัยกับตัวเอง เหตุผลอื่นไม่มี แค่สงสัยว่าทำไมมันยังมืด กลับไปดูนาฬิกาอีกครั้ง มันก็เวลา 6 โมงเช้าอยู่ดี สงสัยว่าทำไม ปกติวันอื่นจะสว่างแล้วแต่วันนี้ไม่สว่าง ออกจากบ้านมาดูท้องฟ้า ปรากฏว่ามีเมฆเต็มไปหมด ฝนน่าจะตกอีกแล้ว และอีกครั้ง น่าจะหวนกลับมาวันเวลาเดิมๆๆ อีกครั้ง
ออกมานั่งนอกบ้าน ความรู้สึกส่วนที่อยากสบาย บอกว่าตัวเองว่า มืดฝนอย่างนี้ ไม่นานฝนตก น่าจะหยุดเดิน หรือหยุดวิ่งสักวัน ในเล่นในบ้านดูเฟส ดูโซเชียลน่าจะสบายกว่า แต่อีกใจหนึ่งบอกว่า เตรียมชุดวิ่งมาแล้ว พร้อมกันใส่เสื้อสำหรับวิ่ง เสร็จสรรพ โดยใส่นอนเรียบร้อยแล้ว ถ้าไม่วิ่งน่าจะเสียดาย
นั่งชั่งใจสักพัก หวนนึกถึงคำพูดของหนังสือเสียงที่ฟังเมื่อคืนก่อนนอน ตรงเปะเลย เกี่ยวกับเรื่องหมาป่่าของอินเดียแดง 2 ตัว รายละเอียดจำไม่ได้แล้ว แต่จำได้แต่ว่า มันเปรียบเสมือนความรู้สึกภายในที่ต่อสู้กัน ระหว่างความสบาย กับการเปลียนแปลงเพื่อสร้างพฤติกรรมของตัวเอง เพื่อให้พฤติกรรมหรือการกระทำนั้น เมื่อทำบ่อยๆๆ มันจะเปลี่ยนมาเป็นนิสัย
ขอเว้นวรรคนิด เกี่ยวกับเรื่องนี้ อยากจะเข้าสู่เรื่องการอ่านหนังสือ จากที่มีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ เรารู้แต่ ไม่มีอะไรอ้างอิงได้ หรือไม่รู้ที่ไปที่มา แต่พอมาอ่านหนังสือมากๆๆ เราตกตะกอนชีวิตได้มากขึ้น
เมื่อก่อนคิดว่านิสัยหรือสิ่งที่มันเกิดมาติดตัวเรา แล้วมันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป สุดท้ายมาอ่านหนังสือมากๆๆ สิ่งที่เขาแนะนำคือการเปลี่ยนนิสัยไปยังทิศทางที่ดีขึ้น แล้วนิสัยมันเกิดจากอะไร นิสัยมันก่อนจากพฤติกรรมที่เราทำทุกวัน ตอนเราเกิดมาเราอาจจะเห็นคนอื่น แล้วเราคิดว่าดี เราเลยปฎิบัติตาม หรือไม่มันเกิดจากในสิ่งที่เราชอบ
เมื่อทำบ่อยทุกวัน ทำนานทุกวัน เป็นเดือน เป็นปี สิ่งนั้นแหละที่จะแปรเปลี่ยนจากพฤติกรรมของเราให้เป็นนิสัย
และเราจะรู้ได้อย่างไรว่านิสัยนั้น เป็นนิสัยที่ดีหรือไม่ดี เมื่อก่อน เราไม่มีอะไรอ้างอิง แต่พออ่านหนังสือมากขึ้น สิ่งที่อ้างอิงได้คือหนังสือที่คนเขาประสบความสำเร็จ เอามาแนะนำหรือแชร์ข้อมูลให้กับเรา เช่นเดียวกับการปฎิบัติตัว นั้นเพราะเราจะทำตัวดีหรือไม่ดี มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับมุมมองของคนอื่น หรือมุมมองของตัวเราเอง แต่เราต้องเสาะหาอะไรสักอย่างที่ เป็นตัวยึดหรือบรรทัดฐานว่า เราทำอย่างนั้นดี ไม่ทำอย่างนั้น ไม่ทำอย่างนี้
สิ่งที่เป็นตัวยึดคือ ศาสนา ไม่ว่าศาสนาไหน จะสอนให้เราเป็นคนดี ยกเว้น จะมีกลุ่มบ้างกลุ่มมาเปลี่ยนคำสอน หรือคำแนะนำเพื่อสร้างผลประโยชน์ ให้กับตัวเอง โดยเอาความเชื่อของคนอื่นเป็นเครื่องมือในการทำมาหากิน
นั้นคือในส่วนการปฎิบัติตัว ว่าเราเป็นคนดีหรือไม่ดี โดยเอาศาสนาเป็นเครื่องวัด แต่ในเรื่องนิสัย บางที ไม่มีอะไรเป็นตัววัดว่านิสัยอะไรดีหรือนิสัยอะไรไม่ดี สิ่งที่น่าจะหาตัววัดได้ดีที่สุดคือการอ่านหนังสือให้มาก
แล้วทำไมต้องอ่านหนังสือให้มาก อ่านน้อยๆๆ ได้ไหม อ่านหนังสือน้อยๆๆ มันอ่านได้เช่นกัน แต่ หากเราอ่านน้อยเกินไป บางทีข้อมูลที่เราได้ มันไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบหรือสรุปได้ว่า มันดีจริงๆๆ ในข้อแนะนำนั้น
หากเปรียบมันคือเสียงส่วนน้อย หากเราเชื่อหรือทำตามบางทีมันเป็นแค่การชี้นำเราเองได้
แต่ ถ้าเราอ่านหนังสือมากๆๆ มันคือเสียงส่วนมาก เราสามารถเอาเนื้อหาในหนังสือทั้งหมดว่าวาง แล้ววางเกณฑ์ในการตัดสินได้ว่า สิ่งไหน หรือนิสัยไหนดี นิสัยไหนไม่มี โดยวัดจากปริมาณเนื้อหาที่เราอ่านแล้วมาสรุป
อย่างเช่น หนังสือ 10 เล่ม มี 3 เล่ม บอกว่า วิ่งในตอนเช้าดี แต่ อีก 7 เล่ม บอกว่า วิ่งในตอนเย็นดีกว่า
มันจะสรุปได้เบื้องต้นว่า การวิ่งในตอนเย็นน่าจะดีกว่า แต่ อย่างเพิ่งเชื่อ และหาหนังสือมาอ่านเพิ่ม พร้อมกับวิเคราะห์ตัวเราว่า เมื่อทดสอบวิ่งในตอนเช้าและตอนบ่าย มันมีผลแตกต่างเป็นอย่างไร
นั้นคือหลักในการตัดสินใจว่า เราจะเปลี่ยนพฤติกรรมของเรา จากที่เราทำทุกวัน จนเป็นนิสัย ว่าเราจะเลือกนิสัยอย่างไรดี เมื่อคิดและวิเคราะห์แล้ว สุดท้ายตัดสินใจออกวิ่ง ทั้งที่รู้ว่า น่าจะต้องเปียกระหว่างทาง แต่คิดวางแผนไว้แล้วว่า หากฝนตกหนักจะแวะบ้านใคร อย่างไร เป็นไปตามคาด วิ่ง(หรือเดิน) ได้ครึ่งทาง ฝนเริ่มโปรยปรายลงมา ในตอนนี้แหละเป็นการวิ่งๆๆ เพราะหาช้าฝนตก ผลปรากฏว่าวิ่งได้ประมาณ 1 กม.
ยังแปลกใจตัวเองเหมือนกันว่า ทำไมวิ่งได้มาก
มาคิดแล้วสรุปให้กับตัวเองอีกครั้งว่า นั้นเป็นเพราะว่าในใจของเราคิดว่าจะทำไม่ได้ เลยไม่กล้าวิ่งมาก เพราะเรากลัวไปก่อนจะลงมือทำ
แต่พอเราลงมือทำจริง ๆๆ แม้ว่าจะคิดว่าทำไม่ได้ มันกลับทำได้
มานึกดีใจที่คิดถูก ในแนวคิดที่ว่า ลดความยุ่งยากในการลงมือทำ โดยทำให้เสร็จ แม้ว่า จะไม่สมบูรณ์ ในขณะเดียวกันทำไปโดยสร้างปริมาณ ไม่ได้หวังสร้างคุณภาพ เช่นเดียวกับการเดินในตอนเช้า ตอนเริ่มบรรเลง การเดินใหม่ๆๆ มันปวดขา เจ็บไปหลายส่วน แต่ เพื่อบอกร่างกายว่า ไม่ต้องกังวล แค่ทำเล่นๆๆ เพื่อไม่ให้สมองมันสั่งร่างกายให้ต่อต้าน ว่า อย่าทำนอนเล่นดีกว่า
เลยหลอกสมองว่า แค่ เดินเล่น ช่วงจังหวะเผลอ วิ่งบ้างเล็กน้อย พอเริ่มเหนื่อยหยุด เป็นแบบนี้ มาเดือนกว่าแล้ว มาวันนี้ มีเหตุการณ์มาบังคับว่า ต้องวิ่ง ไม่งั้นเปียกฝนแน่นอน ผลปรากฏว่าวิ่งได้ กม.กว่า โดยไม่หยุด มันแสดงให้เห็นถึงสัญญานที่ดีว่า ต่อไปในอนาคต เราน่าจะมีโอกาสเพิ่มการวิ่งเป็น 2 กม. แต่ตอนนี้ เอาแค่นี้ก่อน
เอาแค่นี้ ก่อน หมายเความว่า พอสำหรับบทความวันนี้
“หมาป่าภายในจิตใจ”
ณ ชนเผ่าอินเดียแดงแห่งหนึ่ง ท่านผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังสอนหลานของเขาเกี่ยวกับชีวิต
“การต่อสู้กำลังเกิดขึ้นจากข้างใน” ท่านผู้เฒ่าบอกกับหลานชาย “มันเป็นการต่อสู้ที่เลวร้ายและเกิดขึ้นระหว่างหมาป่า 2 ตัว”
“ตัวหนึ่งเป็น #villain ปีศาจร้าย มันขี้โมโห ขี้อิจฉา โศกเศร้า โลภมาก เย่อหยิ่ง ช่างโกหก เอาแต่ตนเป็นที่ตั้ง ไม่ฟังใคร”
“การต่อสู้นี้นั้นเกิดขึ้นได้กับทุกคน รวมทั้งตัวหลานด้วย”
หลานชายจึงได้ถามท่านปู่ผู้เฒ่าว่า “แล้วตัวไหนชนะครับปู่?”
ท่านผู้เฒ่าจึงตอบว่า “ก็ตัวที่เธอได้ให้อาหารกับมันนั่นล่ะ”
จากเรื่องเล่านี้ หมาป่าสีดำ เปรียบเสมือนความรู้สึกในด้านลบที่อยู่ในจิตใจของเรา หากเราคิด หรือรู้สึกเกลียด มีความโกรธ ความเศร้าความผิดหวังหรือความอิจฉา ยิ่งเราดึงความรู้สึกนี้เข้ามาในตัวเรามากเท่าไหร่ ก็เหมือนว่าเรากำลังให้อาหาร กับหมาป่าสีดำตัวนั้น และยิ่งเรา จมอยู่กับความคิด แบบนี้นานเท่าไหร่ ความรู้สึกภายในใจเรา ก็จมอยู่ในด้านลบ มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถ้าหากเราลองฝึกปล่อยวาง ฝึกคิดถึงในสิ่งที่ดี มองทุกอย่างในแง่ดี ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายขนาดไหน ความคิดเหล่านี้ ก็จะช่วยดึงตัวเรา ให้อยู่ ในสภาวะความคิดที่เป็นบวก เปรียบเสมือนเราให้อาหารกับหมาป่าสีขาว ให้แข็งแกร่งขึ้น
ในเมื่อถ้าเราสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเราได้ ฝึกทำอย่างแบบเป็นประจำ ทุกอย่างจะส่งผลให้ ชีวิตเราดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น คนที่อยู่รอบข้างเรา ก็จะมีความสุขตามไปด้วย หวังว่า เรื่องราว ที่ผมนำมา เล่าในวันนี้ จะเป็นประโยชน์กับทุกๆคนที่ได้เข้ามาอ่าน ผมมีความเชื่อว่า ความคิดที่ดี เราสามารถสร้างมันได้ ด้วยตัวเราเอง
editor's pick
latest video
news via inbox
ต้องการรับข้อมูลข่าวสาร