ต้นตะขบและหลุมพอ

Last Updated: 17/03/2024By Tags:

ต้นตะขบและหลุมพอ

วันนี้ ตื่นมาพร้อมกับเสียงนาฬิกา ตีบอกเวลา 09.00 น. นาฬิกา เรือนนี้มีคนซื้อให้ตอนขึ้นบ้านใหม่ คนที่ซื้อไห้ตอนนี้ ก็ก้าวขึ้น หน.หน่วยของหน่วยงานหนึ่งแล้ว เป็นนาฬิกาที่มีเสียงดังคล้ายดนตรีก่อน แล้วมีเสียงกระดิ่งตีบอกเวลา ทนมามาก น่าจะเกือบ 20 ปีแล้ว

ตื่นขึ้นมาเช้านี้ รู้สึกว่ามันสดชื่น ไม่รู้สึกตาแห้ง น่าจะเป็นเพราะก่อนนอนไม่ได้อ่านหนังสือผ่านทางเทปเล็ต  แต่อ่านหนังสือ แล้วใช้โคมไฟที่เพิ่งซื้อมานอนอ่าน ตื่นขึ้นมารู้สึกสบายตา กับก่อนนอนอ่านหนังสือของ ประมวล เพ็งจันทร์ ชื่อเรื่อง เดินทางสู่อิสรภาพ เป็นหนังสือเชิงธรรมะ ที่ผู้เขียน ออกเดินทางจากเชียงใหม่ ด้วยเท้าเปล่า เป้าหมายคือเกาะสมุยบ้านเกิด โดยในระหว่างเดินทางไม่ใช้เงิน

ผู้เขียนตั้งเป้าหมายไม่ใช่เงิน เพื่อเจอเพื่อนใหม่ อาหารการกิน หากไม่มีใคร เชื้อเชิญให้กินอาหารบางวัน ก็อด แต่ก็มีคนเอื้อเฟื้อให้อาหาร มีน้ำใจ ให้ตลอดทาง แสดงให้เห็นถึงน้ำใจของคน แต่ส่วนมาก มันก็แปลก อ่านจนจบ ส่วนมามากคนที่ให้อาหาร มีความเอื้อเฟื้อต่อผู้เขียน คือ อ.ประมวล ฯ ส่วนมากเป็นคนไมได้มีฐานะอะไร แต่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ แต่น้ำใจของแต่ละคนมีมากมายมหาศาล

อ่านแล้ว รู้สึกสบายใจ ไม่ได้หวังอ่านธรรมะ แต่มันสำผัสได้ถึง ความอบอุ่นของการเดินทางผ่านตัวละคร คือบุคคลที่เอื้อผู้เขียนตลอดทาง

ตอนที่ซื้อ ก็ไม่รู้หรอก ว่าเป็นหนังสือแนวไหน อย่างไร เห็นพิมพ์เป็นครั้งที่ 21 แล้ว เมื่อดูราคากับขนาดของหนังสือไม่แพง เลยซื้อมาอ่านดู

คนเขียนก็เขียนดี อ่านแล้วลื่นไหล เหมือนหลุดออกมาเจอโลกที่มีแต่คนมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อกับคนอ่าน

รู้สึกกระชับกระแจง ตื่นมาก็ลงจากบ้านเลย เปิดประตูปั้บ เจอทันที อีแจ้ว

อีแจ้ว  เป็นแมวที่เลี้ยงมานานแล้ว  มันเกิดแล้วแม่มันตาย เหลือสองตัวตอนนั้น คืออีจิ้ว กับอีแจ้ว  อีจิ้ว รถชนตายแล้ว เหลือแต่อีแจ้ว  หากพูดถึงความผูกผัน จะผูกพันกับอีจิ้วมากกว่า

อีจิ้ว ได้ผูกพันเพราะตอนยังเล็ก มันตัวเล็ก มันชอบมาอยู่บนระเบียงบ้าน จนกระทั่งคืนหนึ่ง มีแมวผู้ไม่รู้มาจากนั้น มากัดมันที่ท้องจนเลือดเต็มหมด คิดว่าไม่รอดแล้ว แต่โชคดีที่มันวิ่งเข้าใต้โซฟา  เพราะตัวมันเล็ก เลยรอดมาได้

ดูแล้วตอนนั้นสภาพหน้าสงสารมาก เลยรักษาโดยใช้วิธีการเอาน้ำเกลือรักษาแผลให้มันจนหาย และโตขึ้น  หลังจากนั้นมันออกเที่ยวโดนรถชนตาย  เหลือแต่อีแจ้ว

ปกติแล้วมีแมวหลายตัว  ที่เกิดจากแมวตัวเมียในบ้าน แต่ ตื่นนอนพอเปิดประตู มักจะเจออีแจ้ว  รอหน้าประตู เพื่อขออาหารกิน เหมือนกับเตือนว่า อย่าลืมให้อาหาร นะ

พอลงจากบันใด ตอนนี้ แหละจะได้ยินเสียงร้องระงมไปหมด หากไม่รีบจัดการให้เสร็จรับรองว่า ไม่ต้องทำอะไร จะได้ยินแต่เสียงร้องระงม เพื่อขออาหาร ของพรรคพวกอีแจ้ว

ต้องซื้อหาอาหารเป็นกระสอบแล้วตอนนี้ ราคามันจะถูกว่า ซื้อที่ละกิโล  สงสาร มันคือชีวิตชีวิตหนึ่ง ให้มันกินเราก็ไม่ได้เดือนร้อนอะไร หากเราไม่ให้มันกิน มันก็ต้องหากินเอง หาไม่ได้ก็อด

จัดการเรื่องแมวเสร็จ  ก้าวเท้าไปยังขนำเพื่อปฎิบัติในสิ่งที่ทำทุกวัน ตอนเช้าหลังตื่นนอน เพื่อคิดว่า วันนี้มีแปลนจะทำอะไรในวันนี้ ปกติแล้วเมื่อก่อนจะคิดก่อนนอน แต่เจอปัญหา คิดไปคิดมาว่าพรุ่งหรือทอเช้า จะทำอะไรดี จนนอนไม่หลับ

เลยยกเลิกมานั่งคิดตอนเช้าแทนตอนกินกาแฟ เพื่อคิด พิจารณา สรุป ถึงงานในแต่ละวันว่า มีงานอะไรด่วน งานอะไรที่ต้องทำ หรือไม่ทำ พร้อมกับเช็คสภาพอากาศ โดยมองด้วยสายตาก่อน แล้วเข้าไปเว็บไซต์ของกรมอุตนิยา เพื่อเช็คว่าวันนี้ มีฝนตกไหม

แต่ส่วนมาก คาดการณ์ไม่เคยได้ บอกวันนี้ตก 30 เปอร์เซ็น เอาจริงตกหนักซะจนไม่ต้องทำอะไร

วันนี้ สรุปว่า ตอนเช้าวันนี้ อากาศดี สดใส สมองโปร่ง น่าจะทำเว็บก่อน ทำต่อจากเมื่อวานเรื่อง Moocomerce แล้วตอนบ่ายเข้าสวนเล็ก เพื่อเช็คสภาพต้นไม้ว่ามีต้นไหนที่น่าจะต้องปลูกเพิ่ม ส่วนไหนที่น้ำจม น่าต้องย้ายไปปลูกที่อื่น

สรุปได้เรียบร้อย รีบกินกาแฟ เดินทางมายังบ้านหลังข้างหน้าริมถนน เพื่อลงมือเปิดคอมพิวเตอร์เขียนเว็บไซต์  เปิดประตูไม่เห็นคนขายขนมครก รู้สึกหิวขึ้นมาทัน เพราะโดยปกติตื่นเช้า ชอบกินขนมครกพร้อมกาแฟ   มันเพียงแต่รู้สึกว่า เนือย แค่นั้นเองไม่ได้มีอะไรมาก เปิดคอมทำงานต่อไป

ดูเวลา 8.00 น. เป็นต้องทำภารกิจที่สำคัญอีกอย่างแล้ว คือกินข้าวเช้า วันนี้ กับข้าวก็เหมือนเดิม แกงเดิมเมื่อวาน  ไม่คิดอะไรมาก อย่างที่บอก พออิ่มแล้วมันก็เสร็จ ไม่มีอะไรที่สร้างปัญหาอะไรได้อีก

จัดการข้าวเช้าเสร็จ รีบไปทำเว็บไซต์ต่อ ขณะเดินทางไปบ้านหลังข้างหน้า รู้สึกว่า กำลังทำผิดพลาดอีกแล้ว ด้วยความรีบ เลยกินอาหารเร็วเกินไป ทั้งที่งานที่ทำ ก็ไมได้เร่งด่วนอะไร ทำไมต้องรีบกิน รีบมาเขียนเว็บไซต์ น่าจะต้องปรับปรุงตัวเอง เพื่อให้เวลากับตัวเองในการกินข้าวใหม่ ไม่งั้นน่าจะมีปัญหากับสุขภาพในอนาคต

นั่งทำงานอย่างสบายใจ ฟังเพลงเก่ายุค 90 S

ทันใดนั้นได้ยินเสียงเปิดประตูหลัง มีคนเดินเข้ามาบอก เกี่ยวสวนใหญ่ และบอกว่าไม้ฟืนที่บ้านที่ใช้สำหรับทำกับข้าวหมดแล้ว

ได้จังหวะ รู้สึกล้าพอดี กับเข้าแต่สวนเล็กไม่ได้เข้าไปดูสวนใหญ่หลายวันแล้ว เลยบอกไปว่า เดี่ยวเข้าไปจัดการให้เอง รวมทั้งเรื่องไม้ฟืน

 

รู้สึกสบายใจ ปลอดโปร่ง

ได้เข้ามาสวนใหญ่แล้วรู้สึกสบายใจ ปลอดโปร่ง บางทีถ้าไม่ติดขัดเรื่องอาหารเที่ยงมักจะอยู่ได้เป็นวัน   นึกถึงสภาพสมัยก่อน จะมีการทำสวนยาง น่าจะเป็นพื้นที่ ที่สวยมาก มีลำธารเล็กๆๆ ใหลวนทั้งในพื้นที่และแบ่งเขตพื้นที่ด้วยลำคลองขนาดเล็ก

ถามพ่อว่า ได้สวนนี้มายังไง พ่อบอกว่าสวนนี้  ซื้อต่อเขามา ทุนที่ได้เพื่อซื้อสวนนี้ มาจากวัวที่เลี้ยงมาแล้วก็ขาย หลังจากที่พ่อซื้อสวนนี้เสร็จ ก็ไม่ได้เลี้ยงวัว อีกเลย พ่อบอกว่าสงสารวัว เลี้ยงแล้วผูกพันพอขายแล้ว ไม่รู้เขาพาไปทำอะไร สงสารเลยไม่เลี้ยงอีกเลย หลังจากซื้อสวนนี้แล้ว

มันเป็นมรดกตกทอดจากพ่อมา   เป็นพื้นที่  ที่เป็นครูสอนวิชาเรื่องการทำสวนมาตั้งแต่เด็ก

เมื่อก่อนพื้นที่นี้ เป็นหญ้าคาตั้งหมด  มาสวนนี้ แต่ละครั้ง เหนื่อยจับใจ ทั้งร้อนทั้งคัน และก็รกมากๆๆ  หญ้าคา ยิ่งตัดยิ่งขึ้น ตอนต้นยางยังเล็กมันคลุมต้นยางเลย ใส่ปุ๋ยแต่ละทีแทบขาดใจ  เมื่อยางโตขึ้นได้ขนาด 3 ปี ก็เริ่มสบายหน่อย

หลังจากนั้น เมื่อออกจากบ้านเพื่อเรียนหนังสือก็ห่างหายจากสวนไปพักหนึ่ง จนมีงานมีการทำ แล้วมีโอกาสมาทำงานที่บ้าน ก็เริ่มลงมือต่อเป็นลูกมือช่วยพ่อ แต่ก็ไม่มากแล้วเนื่องจากมีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ แต่มันผิดกับเมื่อก่อนของการมาสวนแต่ละครั้ง เมื่อก่อนมาเพราะจำเป็นขัดไม่ได้ มาใช้แรงงานอย่างเดียวโดยไม่คิดอะไร แล้วแต่จะใช้ว่าให้ทำอะไร เท่าที่ทำได้ เพราะแรงกายยังดี

มาช่วงหลังๆๆ  เมื่อมีการมีงานทำ การมาสวนแต่ละครั้ง มันเริ่มเปลี่ยนไป  เปลี่ยนเป็น มาสวนเพราะชอบที่จะมา มาเพราะความรับผิดชอบ มาสวนแล้วมีความสุข ได้พบกับความสงบ ได้ออกกำลังกาย ได้มีเวลาอยู่ในโลกส่วนตัว  ได้สร้างพื้นที่ในจิตนาการที่ตนเองต้องการ และอะไรหลายสิ่งหลายอย่าง

จนกระทั่ง  พ่อเริ่มจะทำไม่ไหว ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ต้องมามากขึ้นเพื่อดูแล รับช่วงต่อให้พ่อได้สบายใจว่า สิ่งที่พ่อทำมาตลอดมีคนรับช่วงให้แล้ว มันเปลี่ยนจากทำเพราะขัดไม่ได้ ต่อมาเปลี่ยนมาเป็นความรับผิดชอบ สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็นหน้าที่ที่จะต้องทำ เพราะหากไม่ทำ ก็จะไม่มีคนดูแลต่อ

เมื่อเป็นหน้าที่ ก็ต้องรับผิดชอบมากขึ้น เวลาก็น้อยลงเพราะต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งให้กับงานที่ทำประจำ เวลาส่วนหนึ่งก็ต้องมาดูแลสวน   มันเริ่มมีความคิดเปลี่ยนอาชีพ

ตอนแรกที่บอกกับลูกน้องว่า จะเปลี่ยนอาชีพ ลูกน้องตกใจ คิดว่าจะมาแย่งงานที่ทำในส่วนที่ลูกน้องทำคืองานกรีดยาง  คนที่บ้านเลยบอกลูกน้องก็ว่า ไม่ต้องตกใจ เพราะแค่เปลี่ยนอาชีพเพื่อมาดูแล ส่วนเรื่องกรีดยางเอง ก็ไม่มีทางเพราะกรีดไม่เป็น และไม่คิดจะฝึกหรือกรีดยางเอง

การกรีดยางเอง แม้ว่า เราจะมีรายได้เพิ่ม แต่มันเสียเวลา ไม่คุ้มกับเวลาที่เราเสียไป รวมทั้งสุขภาพ หากเรามีงานอื่นที่สร้างรายได้ให้กับเรา ก็ปล่อยให้คนที่เขาไม่มีรายได้ ได้มีงานทำดีกว่า

การกรีดยาง หากสวนมาก ต้องเริ่มลงกรีดยางตั้งแต่ เที่ยงคืน เท่ากับว่าเราอดนอน แล้วหากรายได้ตรงนั้น ไม่เพียงพอหรือมากพอ ปล่อยตรงนั้นให้คนอื่นทำแทน แม้จะไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่กลางวัน เราทำอย่างอื่นได้มากว่า เสียอีก

 

มาถึงสวนเริ่มภารกิจแรกที่สำคัญสุด

คือเก็บไม้ฟืนไปให้คนที่บ้าน ก็พอดีมาเจอกิ่งหักเมื่อ หากเป็นเมื่อก่อนก็มักจะสับแล้วก็เอาไปโยนทิ้ง แต่ครั้งนี้ มันกลายเป็นสิ่งมีค่าเสียแล้ว

เก็บใส่รถจนเสร็จเรียบร้อย เวลายังเหลืออีกประมาณ 1 ชม.ก่อนเที่ยง จะไปทำอย่างอื่นต่อ ไม่ได้เสียแล้ว วางแผนไม่ดี มันเลยสร้างปัญหาในการทำงานวันนี้ เหตุเพราะได้วางไม้ฟืนใส่รถแล้วพวกเครื่องมือ จอบ เสียบ พร้า เครื่องตัดหญ้า มันอยู่ใต้กองไม้ฟืนหมด ขี้เกียจรื้อ รื้อได้แต่จอบ  เลยเปลี่ยนมาเป็นขับรถสำรวจสวนแทน กับขุดต้นจิก เพื่อเอาไปปลูกรอบสระในสวนเล็ก

ดูต้นจิก ขนาดเล็ก คิดว่าขุดสบาย ที่ไหนได้ต้นมันขนาดเล็ก เพราะมันเพิ่งงอกจากต้นที่ลูกน้องตัดเหลือแต่โคน มันแตกออกมาใหม่ ดูแล้วเป็นต้นขนาดเล็ก พอขุดจริง ๆๆ เจอรากลึกมากๆๆ ได้มาแค่ 4-5 ต้น  ก็ต้องยอมก่อน

 

ต้นตะขบ

ต้นตะขบ มันคือความทรงจำวัยเด็ก มันขึ้นหลายต้นในบริเวณนั้น เลยเว้นไว้ เป็นต้นไม้ที่ชาวบ้านทั่วไปตอนนี้คิดว่ามันไร้ค่า ทำอะไรไม่ได้  แต่ในความรู้สึกส่วนตัวเขาคิดผิด หรืออาจจะคิดถูก มันอยู่ที่ว่า ความจำเป็นของการใช้พื้นที่

ส่วนตัวแล้ว เว้นไว้เนื่องจากมันเป็นความจำในวัยเด็ก แต่ส่วนหนึ่งก็เพื่อให้เป็นร่มเงา หากมองในภาพให้ดี จะเห็นสองสวนที่แตกต่างกันมาก แต่คนก็ชอบทำลายมันเพื่อสร้างสิ่งที่ต้องการให้ตัวเองอิ่มท้อง กับมีรายได้เข้าสู่ครอบครัว

 

หากมองลึกลงไปในภาพ จะเห็นว่าหลังต้นตะขบคือต้นหลุมพอ ที่เขาเรียกว่า ราชาไม้ปักษ์ใต้ เป็นไม้เนื้อแข็งมาก ตอนนี้ หายากมาก ขนาดรากของต้นหลุมพอ ที่เขาเรียกว่าพอนหลุมพอ ยังมีคนตามหาเพื่อขุดมันมาใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ เรียกว่า ขุดให้สิ้นรากสิ้นโคน เหมือนกับว่าโกรธแค้นมัน กลัวมันจะกลับมาแก้แค้น อย่างสำนวนนิยายจีน

ต้นไม้สองต้นนี้ หากมองในเชิงคุณค่า คนมักจะให้คุณค่ากับหลุมพอมากกว่า เนื้อไม้ราคาแพงกว่า แต่หลุมพอกว่าจะโต ไม่ต่ำกว่า 20 ปี  ขณะที่ต้นตะขบโตเร็ว ต้นในภาพแค่ ปีกว่า

ต้นไม้ทั้งสองชนิด  หากเกิดในพื้นที่ใดตอนนี้ มักจะโดนตัดทิ้งเพราะเหตุผลง่ายๆๆ

ต้นหลุมพอ เมื่อมันโตขึ้นก็โค่นไม่ได้ เพราะสมัยก่อน หากใครโค่นไม้ใหญ่ผิด พอมาตอนหลังปลดล็อกให้โคนได้ในพื้นที่ดินของตัวเอง แต่ ก็ยังมีคนโค่นเหมือนเดิม เพราะอ้างว่า ตายเสียก่อนต้นไม้จะโต ไม่ได้ใช้เอง หรือไม่ทันใช้  กับเปลืองพื้นที่  ในความคิดของตัวเอง ก็เข้าใจเขา แสดงว่า เขาคนนั้นไม่มีลูกหรือคนรุ่นหลัง เขาเกิดมาคนเดียว แล้วตายไปโดยไม่มีลูกหลาน เลยใช้พื้นที่เพื่อหาเงินเลี้ยงตัวเองอย่างเดียว

ส่วนต้นตะขบ เขาจะมองว่าเป็นไม้ที่ไร้ค่า ไม้ที่เนื้ออ่อนมากทำอะไรไม่ได้เลย  ปล่อยให้มันขึ้นแล้วเปลืองพื้นที่เปล่า  แต่หากเรามองไปในภาพ จะเห็นว่า หากไม่มีต้นตะขบ ตรงนั้นจะร้อนมาก ขนาดใต้ต้นหลุมพอ ก็ยังร้อนเพราะต้นมันสูง ร่มเงาของต้นหลุมพอเลยสูง ไม่ได้มีเงาเฉพาะจุดเหมือนต้นตะขบ

เจตนาจะเว้นไว้ไม่โค่น เพื่อความทรงจำวัยเด็ก กับเพื่อเป็นร่มเงา แต่พอค้นหาข้อมูลก็พบว่า ต้นตะขบคือสมุนไพร

  • ผลสุกมีรสหวานเย็นหอม มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงกำลัง ทำให้ชุ่มชื่นหัวใจ (ผล)
  • ดอกตะขบมีสรรพคุณเป็นยาแก้อาการปวดศีรษะ ด้วยการใช้ดอกแห้งประมาณ 3-5 กรัม นำมาชงเป็นน้ำชาดื่ม (ดอก)บ้างใช้เนื้อไม้เป็นยาแก้อาการปวดศีรษะ (เนื้อไม้)
  • ใช้เป็นยาแก้หวัด ลดไข้ ด้วยการใช้ดอกแห้งประมาณ 3-5 กรัม นำมาชงเป็นน้ำชาดื่ม (ดอก)บ้างใช้เนื้อไม้เป็นยาแก้ไข้หวัด (เนื้อไม้)
  • ใบมีรสฝาดเอียด มีสรรพคุณเป็นยาขับเหงื่อ (ใบ)
  • รากมีสรรพคุณเป็นยาแก้เสมหะ ช่วยกล่อมเสมหะและอาจม (ราก)
  • ช่วยแก้อาการปวดเกร็งในทางเดินอาหาร ด้วยการใช้ดอกตะขบแห้ง 3-5 กรัม นำมาชงกับน้ำเป็นชาดื่ม (ดอก)
  • เนื้อไม้มีสรรพคุณเป็นยาแก้ท้องร่วง บิดมูกเลือด (เนื้อไม้)
  • ต้นใช้ต้มกับน้ำกินเป็นยาระบาย เนื่องจากมีสาร mucilage มาก (ต้น) หรือจะใช้เปลือกต้นสดหรือแห้ง (รสฝาด) ประมาณ 1 ฝ่ามือ นำมาสับเป็นชิ้นต้มในน้ำเดือด 1 ลิตร ประมาณ 15 นาที แล้วกรองเอาแต่น้ำดื่มเป็นยาระบายก็ได้ (เปลือกต้น)
  • ดอกใช้ต้มรวมกับสมุนไพรอื่นกินเป็นยาขับระดูของสตรี (ดอก)
  • ใช้เป็นยาแก้โรคตับอักเสบ ด้วยการใช้ดอกนำมาต้มรวมกับสมุนไพรอื่นกิน (ดอก)
  • ใช้เป็นยาแก้ตานขโมย (เนื้อไม้)
  • ต้นใช้เป็นยาแก้โรคผิวหนัง ส่วนรากใช้เป็นยารักษาโรคผิวหนัง แก้ผื่นคันตามตัว (ต้น, ราก)
  • ดอกใช้เป็นยาแก้ปวดและแก้อักเสบ (ดอก)
  • ที่่มาของข้อมูล

 

ต้นหลุมพอ ในเวลาที่เท่ากับตะขบ

ต้นหลุมพอ ที่ปลูกเมื่อประมาณ ปีสองปีที่ผ่านมา  อายุเท่ากับต้นตะขบ  หากเทียบกับต้นตะขบมันแตกต่างกันมาก เหมือนกับคนนั้นแหละครับ ยิ่งทำงานมากยิ่งมีคุณค่า  ต้นหลุมพอต้นนี้ หลังจากนี้ ก็ปล่อยให้กาลเวลา สร้างคุณค่าในตัวมันเอง ในรุ่นเราอาจจะไมไ่ด้ใช้คุณค่ามัน แต่รุ่นลูกหลาน คงจะใช้ประโยชน์จากมัน

เราเองก็แทบไม่ต้องทำอะไรต่อ  ปล่อยมันตามธรรมชาติ ปุ๋ย ก็ไม่ต้องใส่ ไม่ต้องดูแลมัน แค่ให้เวลากับมัน แค่นั้นเอง

 

มองดูเวลาจากหน้าปัดวิทยุในรถยนต์ เวลาใกล้เที่ยงอีกแล้ว ยังมีอะไรอีกมากที่ต้องทำ มันก็แปลก เข้าสวนบางที ไม่มีเป้าหมายว่าจะมาทำอะไร แต่พอมาถึงมักจะมีงานให้ทำมากมาย บางทีก็ต้องตัดใจ เก็บแรงไว้ไปทำในสวนเล็ก  ส่วนใหญ่มันสมบูรณ์ของมันแล้ว

อีกอย่าง มีอะไรก็บอกให้ลูกน้องจัดการแทน แต่ มันก็อดไม่ได้ในบางส่วนที่ต้องทำเอง และตอนนี้ ก็เริ่มคิดว่า หากเราใช้แรงอย่างเดียวน่าจะได้งานที่น้อยกว่าเดิม น่าเวลาทำกันหากเราใช้เครื่องทุ่นแรง เช่นรถไถ แบคโฮ พวกนี้ น่าจะได้งานที่มากกว่านี้ แต่พวกนี้มันต้องลงทุน เอาให้มาเต็มตัวค่อยว่ากันอีกที

ตอนนี้ เริ่มเนือย ร้านขายก๋วยเตียวที่กินประจำก็ปิด  ในใจจริงไม่ได้ตั้งใจจะกินหรอกบางที แต่ร้านก๋วยเตียว มันเหมือนกับเป็นแหล่งชุมนุมของคนที่เดินทาง สามารถนั่งพักพูดคุย หรือบอกข้อความ ฝากข้อความ อะไรก็ตามที่เราต้องการได้ อีกอย่าง ได้สำผัสกับคนหลายคนหลายแบบ เลยชอบไปนั่ง แต่นั่งแล้วเลยกินไปด้วย

ถึงบ้านก็เหมือนเดิม กินข้าวเที่ยง นี่คือความโชคดีที่เกิดมาอยู่บ้านนอก จะเห็นว่า ค่าใช้จ่ายอื่นแทบไม่มีเลย ไม่มีสิ่งยั่วยวนใจให้เราซื้อ ไม่มีแหล่งที่ทำให้เราเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ เนื่อย วันไหนก็กินข้าวที่บ้านตลอด (เนือย ภาษาปักษ์ใต้หมายถึงหิว  เขียนมาหลายครั้งแล้วลืมอธิบาย)

กินข้าวเสร็จ นั่งจนข้าวเรียงเม็ด ขนไม้ฟื้นลงจากรถแล้ว ผ่าให้เป็นชิ้นเล็กเพื่อใช้ในการหุงอาหาร  แล้วเอาไปตากแดด

นี่ก็คือส่วนดีของคนบ้านนอกเช่นกัน มันความโชคดีที่ตอนคิดสร้างบ้าน เป้าหมายเดียวคือการใช้ประโยชน์จากบ้าน ว่าจะใช้บ้านทำอะไร ไม่ได้หวังสร้างบ้านเพื่อความสวยงาม แล้วจัดงานเลี้ยงขึ้นบ้านใหม่ โดยมีเจตนาแฝงเพื่อจะอวดบ้าน

แต่สร้างบ้านขึ้นมา มีแนวคิดเดียวเพื่อใช้ประโยชน์จากบ้าน

ครัว ก็เลยจัดสรรไว้นอกบ้าน และที่เป็นที่โล่ง มีอาณาบริเวณของครัวเอง ไม่เกี่ยวกับบ้าน ทำครัวแบบบ้านคนสมัยก่อน  ไม่เคยอายที่ใครมาบ้านแล้วเห็นสภาพครัว สภาพแบบนั้นมันเอื้อประโยชน์ให้เราหลายอย่าง

เช่นตอนนี้ แทนที่จะใช้แก็ส หุงต้ม ก็เปลี่ยนมาใช้ไม้ฟืน มันก็ไม่มีปัญหาเพราะครัวมันแยกออกมาแล้วเปิดกว้าง ลดประหยัดได้มาก และมีความสุขกับกลิ่นควันไม้ฟืน ใช้ชีวิตเรียบง่าย บางเรื่องที่มีอะไรมาเพื่อผูกมันเรา เราก็โยนทิ้งเสีย ไฟดับก็หุ่งข้าวกับไม้ฟืนได้  แก็สแพงก็ไม่ใช้เสีย ชีวิตเมื่อวันง่าย มันจะเป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรมาทำให้ชีวิตยุ่งยาก

เดินมาดูเวลา บ่าย 3 โมงอีกแล้ว ก็จัดแจง เตรียมตัวเพื่อเข้าสวนเล็กต่อ วันนี้ น่าจะไม่มีงานอะไรมาก แค่คิดว่าเข้าไปดู

แตผิดคาดอีก ทำไปทำมา กลับถึงบ้าน 6 โมงเย็นกว่า อีกแล้ว

ก็ต้องรีบกินข้าว ไม่อยากกินให้มันค่ำนัก หากกินค่ำมักจะมีปัญหากับระบบย่อย ด้วยความเร็ว กินข้าวเสร็จ มีอาการแน่นท้องทันที กินน้ำตามเยอะๆๆ ก็ไม่หาย ฉวยหนังสือมาอ่านก่อนจะเขียนบทความ

อ่านได้สักพัก อาการทุเลา ลงมือนั่งที่โต็ะทำงาน แล้วเริ่มปั่น จนเสร็จ ถึงเวลาใกล้ที่ต้องพักแล้ว จัดแจงหิ้วโคมไฟ มานอนก่อนหนังสือ

เสร็จภารกิจอีกวัน 23 June  2565

news via inbox

ต้องการรับข้อมูลข่าวสาร

Leave A Comment