ชีวิตกับการอ่านหนังสือ
ชีวิตกับการอ่านหนังสือ
หลังจากที่จัดการกับชีวิต เพื่อให้ทุกอย่างลงตัว โดยตั้งเป้าหมายไว้คือสร้างความสุขให้กับตัวเอง ทำอะไรที่อยากจะทำ และเอาความรู้ในตัวตน แบงปันให้คนอื่นเท่าที่พอมีให้ หลังจากนั้นเริ่มลงมือทำ ในสิ่งที่ชอบและอยากทำ
สิ่งแรกที่ตัวเองชอบมากที่สุดคือ การอ่านหนังสือ มีความสุขมากเมื่อได้อยู่กับตัวตนเงียบๆๆ หนังสืออะไรก็ได้สักเล่มในพื้นที่ของตัวเองที่ไม่มีคนอื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย
ซื้อหนังสือมาอ่านหลายเล่ม แรกๆๆ ไม่มีโอกาสเข้าในเมือง ก็หา Ebook มาอ่าน ตอนหลังเมื่ออ่านไปมากๆๆ มาสรุปได้ว่า ebook เอาขึ้นชั้นวางหนังสือในบ้านไม่ได้ เวลาอ่านค่อนข้างจะหายากนิดเพราะอยู่ในแทบเล็ต กับอยากสร้างห้องสมุดส่วนตัวไว้ที่บ้าน เลยปรับเปลี่ยนความคิดโดยซื้อหนังสือเป็นเล่มมาแทน
อาทิตย์นี้ ได้ซื้อหนังสือมา 3 เล่ม แยกกันซื้อจาก 3 แหล่ง เล่มแรกซื้อจาก Se-ed ที่โลตัสนครศรี ฯ ชื่อหนังสือ ศิลปะของการปล่อยของ : The Power of Output
หากดูราคาและจำนวนหน้าหนังสือถือว่าไม่แพง ราคาประมาณ สามร้อยกว่าบาท
แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกแปลกๆๆ น่าจะเป็นตอนอยู่ในร้านหนังสือ ดูเงียบเหงามาก จากที่เมื่อก่อนเคยคึกคัก แต่ตอนนี้ คนเข้ามาน้อยมาก และหนังสือก็ค่อยข้างจะน้อย นิตยสารต่างๆๆๆ ก็มีน้อย ถามหาหนังสืออื่นของค่ายสำนักพิมพ์ บางสำนักพิมพ์ก็ไม่มี และรู้สึกว่าไม่นานน่าจะเป็นร้านขายของชำร่วย แทน มีคนเดินในร้านสักคนสองคน คนขายก็รู้สึกหมดแรง ไม่ค่อยกระฉับกระเฉง
มาลองวิเคราะห์ดู สาเหตุน่าจะมาจากโควิด กับน่าจะมีมาจากคนอ่านหนังสือน้อยลงเพราะมีทางเลือกอื่นมาก เช่นพวกโซเชียล ebook
น่าจะมีอ่านจากโซเชียลมาก เลยไม่มีเวลาพอที่จะอ่านหนังสือ เพราะพวกนั้น เช่นเว็บไซต์ เฟส ไม่ต้องเสียเงินค่าซื้อหนังสือ และอ่านทั้งวันก็ได้ เพราะสังเกตุดูพวกโซเซียลบางเจ้า พยายามดึงคนตลอดเวลาให้เข้าอ่านโซเซียล ใช้กลยุทธิ์ ต่างๆๆ นานา เพราะหากคนเข้าอ่านมา พวกยิงแอดก็จะมากตาม เจ้าของแฟลตฟอร์ม ก็มีรายได้เข้ามาก
แต่ในส่วนตัวไม่ชอบ เพราะอะไร ก็บอกไม่ถูก แต่ก็มีแต่นานๆๆ เปิดดูที ไม่อยากให้ใครใครชี้นำความคิดเรามาก โดยใช้ AI มาวิเคราะห์ นำเสนอให้เราติดอยู่ตรงนั้น
อีกสองเล่ม ก็สั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ ซึ่งก็เป็นช่องทางที่สะดวก แต่ก็ต้องวัดดวงเอาเอง เพราะเราไม่ได้เปิดอ่านเนื้อหาข้างในก่อน หรือไม่ก็ต้องหาจากที่คนอื่นแนะนำ บางทีมันก็ไม่ถูกกับโฉลกของเรา
แต่เท่าที่อ่าน เล่มแรก THE POWER OF OUT PUT ศิลปะของการปล่อยของ
เป็นหนังสือที่ดี แนะเคล็ดลับต่างๆๆในบางเรื่องที่เรารู้แล้วแต่รู้ไม่หมด ให้เราได้รู้เพิ่มเติม แนะนำให้อ่านสำหรับคนที่ต้องการพัฒนาตนเอง เพราะหากเราทำตามหนังสือนั้นจริง มันจะทำให้เราเก่งขึ้นแน่นอน
อย่างเช่นการเขียนบทความ การสอนคนอื่น และหลายๆๆ สิ่งหลายอย่าง ในหนังสือแนะนำวิธีการที่ เมื่อเราอ่านหนังสือหรือทำอะไรก็ตามที่เรารู้อย่างดี แต่ หากเราไม่ปล่อยมันออกมา เราก็จะไม่รู้ หรือรู้ก็ไม่ถึงขึดสุด เพราะการปล่อยต่อนั้น หากเราไม่รู้จริง เราก็จะไม่สามารถแนะนำหรือสอนต่อคนอื่นได้
แม้ว่า เราจะรู้และทำมันมานานแล้วก็จริง แต่หากเราจะแนะนำหรือทำเป็นบทความอะไรสักอย่าง เพื่อขยายความบอกต่อคนอื่น บางทีมันก็ยากในการนำเสนอ
ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุด
เคยใช้โปรแกรม I2 มาสิบกว่าปี สามารถทำและเข้าใจได้คล่องทุกอย่าง แต่พอจะปล่อยของหรือแนะนำคนอื่นต่อ กว่าจะเขียนบทความได้แต่ละหัวข้อ
กว่าจะสรุปโครงสร้างได้ ก็ต้องใช้เวลานานมา เกือบ 4 เดือนแล้วบทความก็ไปไม่ถึงไหน
แต่พอลงมือทำจริง ก็รู้ว่า เราจะเข้าใจและรู้ในสิ่งต่างๆๆ เพิ่มเติมอีกมากมาย กับแค่การที่เราปล่อยของให้คนอื่น
ที่พิมพ์มาทั้งหมดไม่ได้มีเจตนารีวิวแต่อย่างใด แต่แนะนำเลยว่า หากเราต้องการพัฒนาตนเอง
ให้เอาสิ่งที่เรารู้และทำมาแล้ว มาลองเขียนเป็นบทความแล้วส่งต่อให้คนอื่น
เราจะรู้ทันทีว่า เราเก่งจริง หรือเราต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีก หากเราเก่งแล้ว เราจะยิ่งเก่งมากยิ่งขึ้นเพราะกว่าจะเป็นบทความได้ ต้องทำความเข้าใจเนื้อหาทั้งหมด แล้วสรุปมันออกมาเป็นขั้นตอน ต้องมีการจัดแบ่งหัวข้อ และปลีกย่อยต่างๆๆ ลงไปมากมาย กว่าจะออกเป็นบทความได้
ส่วนอีก สองเล่ม ยังอ่านไม่จบ แล้วจะมาสรุปเล่าให้ฟังอีกทีว่าเป็นอย่างไร
สิ่งที่ได้จากการอ่านหนังสือ
นอนหลับสนิท เพราะการอ่านหนังสือ หากจะอ่านให้รู้เรื่องและเข้าใจ เราต้องมีสมาธิ จดจ่ออยุ่กับตัวหนังสือ เท่ากับจิตใจเรามีสมาธิ เพราะหากเหนื่อยหรือมีอะไรรบกวนก็จะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง
ไม่ว่าจะเดินทางไปที่ได้ หากเจอสถานที่เงียบสงบร่มรื่น สิ่งแรกที่คิดขึ้นมาในใจคือ น่านั่งอ่านหนังสือจัง
จากความคิดที่ฝั่งใจดังกล่าว มันก็ได้พัฒนามาเป็นแนวคิดในการจัดสร้างสิ่งต่างๆ เช่น บ้าน จะต้องมีมุมอ่านหนังสืออย่างน้อย 2-3 จุดของบ้าน เน้นความสงบ สันโดษ วางแปลนในการสร้างบ้านเพื่อเป้าหมายเดียวคืออ่านหนังสือ
มันทำให้บ้านเป็นที่สงบ เมื่อบ้านสงบ ชีวิตก็อยู่อย่างสงบ สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ภายในบ้านได้โดยไม่ต้องออกเดินทางไปไหน มีความสุขกับความสงบ
ต่อมาเมื่อเวลาในการทำงานชีวิตเร่งเร้าก็ไม่ค่อยได้อ่านเท่าที่ควร แต่ก็พยายามหาเวลาอ่านตลอด แต่เป็นหนังสืออื่นเช่นหนังสือเรียน หนังสือต่างๆๆ แต่ก็ไม่ทิ้งการอ่านหนังสือเท่าที่มีเวลา และคิดวางแผนชีวิตไว้ตลอดว่าจะมีห้องสมุดเป็นของตัวเอง
การอ่านจาก Ebook กันอ่านจากหนังสือ
จริงๆๆ แล้วเป้าหมายทั้งสองอย่างมันเหมือนกัน คือการเพิ่มความรู้การเกิดขึ้นในตัวตนของเราเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่วัตถุผิดกันแค่นั้นเอง บางคนอาจจะถามว่า แล้วอย่างใดดีกว่า ก็แล้วแต่มุมมอง
แต่.. มนต์เสน่ห์มันจะผิดกัน การอ่านจาก Ebook อ่านเสร็จแล้ว มันเก็บในเครื่องแทบเล็ต หรือในมือถือหรือในคอมพิวเตอร์ อ่านมากๆๆ มักจะเจ็บตา แต่หากเป็นหนังสือจริงจะไม่ค่อยมีปัญหากับการเจ็บตา
และที่สำคัญ เราสามารถเก็บบนชั้นหนังสือได้ สามารถอ่านได้ตลอดเวลา ไม่หนักเครื่องหรือต้องคอยหาว่า อยู่ตรงไหนของเครื่อง บางที่เปลี่ยน ก็หาไม่เจอแล้วว่าอยู่ตรงไหน
ที่เขียนมาไม่มีเจตนาว่า ebook ไม่ดี หรือหนังสือดีกว่า
การอ่านหนังสืออย่างที่บอก เป้าหมายของเราคืออ่านเพื่อให้ข้อมูลเข้าสู่ตัวเรา เพราะฉะนั้น จะอ่านจากที่ไหนอย่างไร มันก็คือการอ่าน เพียงแต่การอ่านเป็นเล่มมันจะทำให้เราสรุปออกมาได้เลยถึงแนวคิดหรือสื่อของหนังสือแต่ละเล่ม
เช่นเดียวกับเราอ่านผ่านโซเชียลต่างๆๆ มันคือความรู้เหมือนหนังสือเช่นกัน
มีข้อแตกต่างกันนิดเดียว ตรงหนังสือเราเลือกเองว่าจะอ่านหนังสือแบบไหน เป้าหมายของเราคืออะไร สิ่งที่เราจะได้จากหนังสืออะไรบ้าง
แต่ หากอ่านทางโซเชียล มีทั้งการชี้นำ การหลอกล่อเพื่อหวังยอดวิว หวังยอดไลน์ อัดทุกอย่างเพื่อปั่นให้เข้าทางที่คนนำเสนอเนื้อหาที่ต้อง
แต่มันก็ดีเพราะเราจะได้วิเคราะห์ ได้คิด คนอ่านหนังสือมากกับเล่นโซเชียลมาก หากเราเปิดรับทุกด้านแล้วมาคิดมาวิเคราะห์มันจะเกิดประโยชน์กับตัวเรามาก
แต่ถ้ารับสื่อด้านเดียว ก็ตัวใครตัวมัน
editor's pick
latest video
news via inbox
ต้องการรับข้อมูลข่าวสาร