ทำไม ต้องกินกาแฟ

Last Updated: 31/07/2023By Tags:

ทำไม ต้องกินกาแฟ

เช้าวันนี้ ตื่นเร็วกว่าปกติ  ได้อ่านคำแนะนำเกี่ยวกับการตื่นเช้า จากหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรมาก แค่เนื้อหานิดเดียวแต่เขียนวกไปวนมาในเนื้อหาเดิม  เนื้อหาบางส่วนก็พอจะมีเหตุผลบ้าง เลยลองทำดู

ปกติจากความสับสนของชีวิต ในแต่ละวันกิจกรรมที่จะทำไม่เพียงพอกับเวลาที่ต้องการ  ติดขัดหลายเรื่อง กับการบริหารเวลา คิดมานาน  น่าจะตื่นให้เช้ากว่านี้ จะได้เวลาทำงานต่างๆๆ เพิ่มขึ้นเพื่อทดแทนในช่วงเที่ยงหรือช่วงบ่ายที่มักจะทำไม่ค่อยไหว อากาศมันร้อน อบอ้าว ตอนเย็นพอจะเริ่มหายร้อน  จะเริ่มทำกิจกรรมด้านอื่น ฝนก็มักจะตก หลังจากฝนตก มันเปียกชื้น หรือค่ำพอดีจนทำอะไรไม่ได้เลย

 

หาก เปิดแอร์เพื่อทำงานมันก็ได้ แต่มันคุ้มค่ากันหรือไม่ กับการบังคับชีวิตของเราให้ติดสบายเกินไป สภาพอากาศบ้านเรามันก็เป็นแบบนี้ คือร้อนชื้น ยิ่งฝนตกเสร็จมันก็ยิ่งร้อน เพราะน้ำในพื้นดินถูกแสงอาทิตย์เผา กลายเป็นใอ เลยขึ้นบนอากาศ

ก็เลยคิดว่า น่าจะปรับร่างกายของเรา ให้สอดคล้องกับสภาพอากาศดีกว่า ให้ตัวเองติดสบายตลอดเวลา  ถ้าเราปรับร่างกายเราเองไม่นานเราก็ชิน ร่างกายมันคือสภาพแวดล้อมของเราเอง เราสามารถปรับได้ หรือสร้างความเคยชิน ให้กับมันได้ แต่ ถ้าเราไปรับสภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อร่างกายของเรา บางที มันก็ทำได้ แต่ มันไม่ได้ตลอดเวลา ทุกสถานที่ 

คนเราหากติดสบายมากเกินไป มันจะทำให้ชีวิตลำบาก การเดินทางของชีวิต มันน่าจะพอดี อย่าให้สูงเกินไป ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งชีวิตเราปล่อยให้ติดสบายมากเกินไป มันหนึ่งเกิดติดขัดกับชีวิต  หากเราใช้ชีวิตพอดี มันจะทำให้เราสามารถรอดผ่านไปได้

ตื่นเช้าขึ้นมาทุกเช้า มันก็เหมือนเดิม เป็นวันธรรมดา ที่ธรรมดา บางคนอาจจะว่าน่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น มันก็แค่ ธรรมดาทุกวัน

แต่ วันธรรมดานี้ แหละ หากวันไหน เราเดินทางไปทำงานหรือทำอะไร นอกบ้าน สัก 4-5 วัน เราจะคิดถึงชีวิตธรรมดา วันธรรมดา ปกติที่ไม่มีอะไรเลยแค่วันธรรมดา เพราะมันธรรมดา คนเราส่วนมากไม่ค่อยให้ความสำคัญกับมัน ก็อย่างที่บอก มันคือวันธรรมดา

เหมือนเดิมทุกวันที่ทำของวันธรรมดา  คือกินกาแฟ  นั่งคิดคนเดียวเหมือนกัน  มันเกิดสงสัย ทำไม่ต้องกินกาแฟเช้า  เริ่มกินตั้งแต่เมื่อไร( อันนี้ ก็จำไม่ได้)  แล้วทำไมถึงกินกาแฟ อันนี้ น่าจะเห็นเขาทำมา หรือสังคมมันสร้างบรรทัดฐานไว้ให้ จากคำพูดชวน หรือคำถาม เช่น ไปกินกาแฟกัน  กินกาแฟยัง ว่างๆๆ เจอกันกินกาแฟกันดีกว่า  แต่..มัน ก็ยังงง ว่า ทำไมต้องกินกาแฟตอนเช้า ทำไม ไม่กินบ่าย หรือกินเวลาอื่น 

แล้วก็เพิ่มคำถามเพิ่มเติมมาอีกว่า แล้ว กินไปทำไม คือคำถามน่าจะหาคำตอบ  บางคนอาจจะบอกกลับมาว่า หากไม่กิน มันมีอาการปวดหัว ไม่กระฉับกระเฉง ก็มานั่งคิดดูว่า มันจริงไหม หรืออาจจะจริง หรือไม่จริง  ก็ลองเข้าไปอ่านในบทความหลายๆๆ บทความ ก็มีผู้รู้ บอกมาว่าการกินกาแฟ กินแล้วดีต่อสุขภาพ ช่วยเรื่องนั้น ช่วยเรื่องนี้ 

ก็เช่นกัน ผู้รู้ อาจจะเป็นคนทำธุรกิจกาแฟก็ได้ แต่มันก็ดี อย่างน้อย ไอ้สิ่งที่เราทำมาทุกเช้า มันจะมีข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวได้ว่า มันเป็นสิ่งที่ดี  เพื่อจะได้กินมันต่อไป 

แต่ ..ในความรู้สึกส่วนตัว คำว่ากินกาแฟตอนเช้า มันน่าจะมีข้อดีที่สำคัญประการหนึ่ง ที่ต้องกินตอนเช้า   แบ่งได้สองอย่างคือกินหรือรับประทานกาแฟคนเดียว   กับกินกาแฟพร้อมเพื่อนๆๆ ตอนเช้า หรือทีมงานในการทำงาน 

พิมพ์มาถึงตอนนี้ มันก็แปลก ไม่เคยได้ยินใครพูดกันเท่าไร ว่า คุณรับประทานกาแฟแล้วหรือยัง ส่วนมาก จะพูดว่า ทานกาแฟ หรือยัง หากเป็นปักษ์ใต้ มักพูดว่า กินกาแฟแล้วยัง

 

กลับเข้าเรื่องต่อ

หากมองในมุมหนึ่ง ที่มองกลับด้าน ในเชิงวิเคราะห์ด้วยความคิดของคนบ้านนอก คนทำสวนคนหนึ่ง ไม่ใช่นักวิชาการ 

  การกินกาแฟ มันคือตัวช่วยให้เราอยู่กับตัวเอง ในช่วงเวลาหนึ่ง (กรณีนั่งกินคนเดียว )  กรณีนั่งกินหลายคน ก็อาจจะเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งในการประชุมนอกรอบ หรือวางแผนการทำงาน กรณีทำงานเป็นทีม

 

สิ่งนี้มากกว่า  ที่บางคนกินกาแฟ แต่มีเป้าหมายแฝงขณะกินกาแฟแบบไม่รู้ตัว มันเป็นเหตุผลที่แฝงมาทุกเช้า  ขณะที่กินกาแฟเช้า นั้นคือการได้พักสงบ  ได้คิด ได้มีเวลาอยู่กับตนเอง   ได้มีเวลาวางแผนการทำงานในวันที่กำลังจะเริ่มต้น หรืออาจจะได้สรุปบทเรียนและคิดข้อบกพร่องหรือข้อผิดพลาดของวันที่ผ่านมา เพื่อจะได้แก้ไข หากส่วนไหนดีอยู่แล้วก็ปรับให้ดีขึ้น

ได้ดื่มด่ำ กับรสขมของกาแฟ ค่อยๆๆ จิบเพราะมันขม กินเร็วไม่ได้  มันร้อน หากกินไม่ร้อน ก็ไม่ได้อีก ไม่มีรสชาติ ความเคยชินเหล่านี้มากกว่า ที่มันสร้างตัวตนให้กับเรากับกาแฟ คู่กันทุกเช้า อย่างมีความสุข ยิ่งได้บรรยาศดีๆๆ หนังสือน่าอ่าน มันคือการพักผ่อน เรียบเรียงความคิด เตรียมความพร้อมของร่างกาย เพื่อออกทำงานต่อไป

หากเปรียบเทียบกับชีวิตก็ได้เช่นกัน สิ่งนี้เขาเรียกว่าความพอดี แต่กรณีเรากินกาแฟ เราปรับสภาพภายนอกคือกาแฟให้มันพอดี ไม่ร้อนไม่เย็นเกินไป  แต่ในส่วนของชีวิต บางทีเราปรับสภาพภายนอกของเราไม่ได้ เราก็มาปรับชีวิตเราให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ให้มันพอดี ชีวิตก็จะสบายขึ้น

มองมุมกลับอีกครั้ง วันไหนที่เราตื่นขึ้นมา  หากเราตื่นขึ้นมาแล้ว ไม่เรียบเรียงร่างกาย เรียบเรียงความคิด   หรือทำอย่างอื่นเลยทันที ไม่ได้นั่งคิดนั่งวางแผนก่อน มันก็ดูแล้วการทำงานของเราจะไม่เป็นระบบ 

ยกตัวอย่างให้เห็นชัดที่สุด อย่างเช่น เราต้องรีบไปขึ้นเครื่องตอน หกโมงเช้า  จะเห็นทันทีว่า ระบบในร่างกายความคิดของเรา มันจะเปลี่ยนไปทันที และวันนั้นของวัน มันจะดูแปลก  เพราะวันธรรมดาทุกวันของเรา มันไม่เป็นวันธรรมดาของเรา และเราทุกคนมักจะมองข้ามวันธรรมดา ของเราเอง ว่าไม่สำคัญ

นั้นคือมุมหนึ่งที่กินกาแฟ  แต่ในส่วนตัวเอง ก็ระวังตัวมากที่สุดระหว่างกินกาแฟ นั้นคือ ถ้าหลีกเลี่ยงโซเชียลได้ก็จะหลีกเลี่ยงให้มากที่สุด  หากเผลอเปิดเข้าไปแล้วสมองเรากำลังสดใส รอการรับสิ่งดีๆๆ เข้ามาสำหรับวันนั้น

แต่ ด้วยความบังเอิญ เจอแต่ขยะ แล้วสมองเรา รับข้อมูลขยะเข้ามาในหัวสมองเรา แสดงว่า วันนั้นชีวิตเรา มีแต่ขยะเข้ามาฝังและเป้าหมายการทำงาน หลายสิ่งหลายอย่างมันจะตามมา เพราะตัวนั้นเข้ามาบดบังในส่วนอาหารสมองชั้นดีตอนเช้าของเราไปแล้ว 

หากเราทำแค่วันเดียวไม่มีค่อยมีปัญหา แต่หากทำบ่อยมันจะเกิดความเคยชิน สุดท้าย เราจะเสียเวลาให้กับมัน จนมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาของทุกวัน ที่เราจะต้องรับขยะพวกนี้ เข้ามาในสมองเรา แบบเราไม่รู้ตัว

มันน่ากลัว กับชีวิตประจำวันของเรากับโซเชียล จริงๆๆ แล้วส่วนดีมันมีมาก ความรู้ต่างๆๆที่ได้ การให้คนที่เก่งมีความชำนาญเฉพาะด้านมีพื้นที่ในการนำเสนอ  ผลงานดีๆๆ มีออกมามาก 

แต่.. AI จะเป็นตัวกำหนดการนำเสนอ กับโฆษณา เป็นตัวแปร  พวกนี้จะมาแทรกเพื่อนำเสนอเราโดยผ่าน ยอดวิว ยอดไลค์  แล้วนำเสนอมายังเรา โดยที่เราเองก็ไม่ได้ต้องการ หรือต้องการ  ยิ่งต้องการยิ่งหนัก เพราะมันจะส่งเนื้อหาที่คล้ายกัน ให้เราติดกับตรงนั้น ตลอดเวลา เพียงเพื่อให้เราอ่าน แล้วแทรกโฆษณา ใครเป็นผู้รับเงิน ก็คิดกันเอาเอง 

นอกจากนี้แล้ว เพียงแค่หวังยอดวิว กับยอด กดไลค์ มีกลุ่มบางกลุ่มที่พยายามหลอกล่อ ยัดเยียด เพื่อให้เราเข้าไปอ่าน โปรยหัวข้อให้อยากเข้าไปอ่าน ข้างในบางทีมีแต่ขยะ หากเราเผลอเข้าไปอ่าน  แต่ละเช้าขยะเข้ามาเต็มหัว

บางอย่าง บางพวก บางกลุ่ม ก็พยายามหาพวก โดยชี้นำความคิด สร้างความแตกแยก  คำพูดของคนพูดอย่างหนึ่ง แต่เอาไปพาดหัวอย่างหนึ่ง เพื่อเรียกร้องให้คนเข้าไปดูหวังยอดวิว 

ทำทุกอย่าง โดยไม่คำนึง ว่า ขยะพวกนี้ ตัวไปข้างหน้า พวกเขาเองนั้นแหละที่กระทบ เพราะบางคนอาจจะโง่ หลงเข้าครั้งเดียว หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครสนใจอ่าน 

สิ่งนี้ แหละที่ต้องระวัง ว่า จะรับอาหารสมองตอนเช้า ด้วยบทความดี คำคม เพื่อสร้างขวัญกำลังใจในการการทำงานแต่ละวัน หรือรับข่าวขยะ เพียงเพื่อให้ตัวเองมีเทรนด์ สามารถพูดกับคนอื่นได้รู้เรื่อง ในทุกๆๆ เรื่อง แค่ให้เขายอมรับตัวเรา แต่แลกกับสิ่งบางอย่างที่มันมาประทับรอยในรอยยักของเส้นในสมองเราเรียบร้อยแล้ว

ช่วงชีวิต หลังจากเป็นหุ่นยนต์

หลังจากกินกาแฟเรียบร้อย   ก็เข้าสู่วังวนของความสับสนอีกครั้ง ชีวิตที่ผ่านมาเป็นหุ่นยนต์มานาน ถูกสร้างและฝึก พร้อมกับป้อนโปรแกรม เพื่อให้เคลื่อนไหว เมื่อต้องการให้เคลื่อนไหว หน่วยความจำถูกบันทึกไว้ด้วย การคีย์ข้อมูลลงไปเพื่อทำตามที่คนสร้างต้องการให้ทำ หน่วยความจำให้คิดเอง พัฒนาเอง มีน้อยมากเนื่องจาก หากให้คิดเอง กลัวจะมีปัญหา หุ่นยนต์เก่งเกินไป แล้วจะคอนโทรลไม่ได้ 

 เมื่อเปลี่ยนอาชีพ chip อันเดิมที่ถูกฝังไว้ ก็ต้องถอดออก ต้องมาวาง chip ตัวใหม่ที่ต้องคิดเอง เขียนโปรแกรมเอง  มันเลยเกิดปัญหากับการ การจัดสารบบชีวิตประจำวันยังไม่ลงตัว 

พอคิดเอง ทำเองได้ ก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่จะทำ  แต่….การจะทำหลายอย่างในห้วงเวลาเดียวกัน มันยุ่งยากมาก 

ตอนเป็นหุ่นยนต์ …  มีแต่รอคำสั่ง ป้อนโปรแกรมเข้ามาให้ทำ ให้เคลื่อนไหว  แล้วก็ทำเคลื่อนไหว ตามที่โปรแกรมได้ป้อนเข้ามา  โดยไม่ต้องมานั่งคิดว่า จะทำอะไร ก่อนหรือหลังในห้วงเวลาเดียวกัน 

ความคิดของเมื่อก่อน กับวิถีชีวิตประจำวัน ตื่นเช้าขึ้นมา รีบดูมือถือว่ามีสายไม่ได้รับหรือไม่  เสร็จแล้ว ก็เริ่มดู  อ่านไลน์ เพื่อดูคำสั่งของโปรแกรม   ถือเป็นเป็นงานด่วนที่ต้องทำ ทุกเช้า แต่ก็ถือว่ายังโชคดี เมื่อก่อนต้องเปิดสิ่งที่เรียกว่า วิทยุสื่อสาร ตลอด 24 ชม เพื่อฟัง หากพลาดไม่ได้ยิน ถือว่าผิดพลาดอย่างมาก ต้องฟังตลอดเวลา 

คิดจะทำอย่างอื่น  ก็ทำได้แต่ สุ่มเสี่ยงเอาเอง ว่าทำได้นิดหน่อย แล้วต้องยกเลิกกลางคัน  หรือพอเริ่มคิด ก็ไม่ได้ทำแล้ว   เพราะทำไม่ได้

คำว่า  “ว่าง แต่มันก็ไม่ว่าง”   ไม่รู้ว่า จะมีให้อะไรให้ให้เคลื่อนตัวหรือมีงานอะไรเข้ามาช่วงไหนอย่างไร

ชีวิต เลยไม่ต้องใช้ความคิดมาก  รออย่างเดียว แล้วไปทำเมื่อเขาบอกให้ทำ เมื่อทำเสร็จ  กลับมารอ  อีกครั้ง   แล้วก็ทำอีก แล้วรอ ต่อ …

แต่มาตอนนี้ มันต้องเริ่มคิดแล้วว่าจะทำอะไร ในแต่ละวัน ตามกิจกรรมหลักที่มี ไม่รวมกิจกรรมย่อย ที่ความสำคัญลดน้อยลงมา 

กิจกรรมหลัก  จะเข้าสวนก่อนดีไหม แล้วจะเข้าสวนไหนดี  หรือว่า อากาศ ช่วงเช้าสมองโปร่งกำลังสบาย อ่านหนังสือที่ซื้อมาวางกอง แต่อ่านไม่ทันดีไหม   แล้วมีความคิดสวนกลับมาว่า ทำเว็บ ดีกว่า ไม่ร้อนตอนเช้าๆๆ คิดอะไรได้ดีด้วย สรุป ก็สับสนว่า จะเริ่มอย่างไหนก่อนดี แต่คิดว่าสักวันเมื่อชีวิตมันเรียบเรียงได้ มันต้องเจอ ว่าเราจะวางชีวิตช่วงไหน ทำอะไร ช่วงไหน ไม่ทำอะไร

ช่วงขณะที่ มานั่งจิบกาแฟ แล้วคิด (นั้นแหละครับคือข้อดีของกาแฟอย่างที่บอกมาเบื้องต้น) สุดท้ายก็ยกไลน์ เพื่อขอแรงสนับสนุนจากน้องๆๆ มีหนึ่งเสียง บอกมาว่า เข้าสวนดีกว่าพี่ตอนเช้าสบาย มันเป็นข้อความจากน้องมัน ชื่อเบิร์ด

 

วางแผน คิดทุกวัน

วางแผนต่อว่าจะเข้าสวนไหน ใหญ่หรือเล็กดี ขณะนั่งสวมรองเท้าบูต เพื่อเข้าสวน ก็เหลือบไปเห็นต้น มะกะฮอนี ที่เพาะไว้ในถุง เริ่มงอกออกมายาวแล้ว ก็นึกขั้นมาได้ว่า ในสวนเล็ก ได้เอาดินใส่ถุงตั้งไว้แล้ว จังหวะนั้นก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่า ไปสวนเล็ก

ว่าแล้ว ก็ถ่ายรูปต้นไม้ที่เพาะไว้ ลงเข้าไปในไลน์กลุ่ม เพื่อให้คนอื่นมาขนเอาไปปลูกบ้าง ตอนนี้ ในสวนเล็กไม่มีที่ปลูกแล้ว เต็มพื้นที่แล้ว หากปลูกลงไปอีกมันจะชิดเกินไป ปัญหาที่จะตามมาคือมันสูงอย่างเดียวไม่ได้ขยายออกข้าง ทำให้เนื้อไม้มีน้อย

 

แต่ก็มีบางสวนที่ปลูกชิด วางแปลนไว้ว่า จะให้ขึ้นสูงยาว แล้วจะตัดทำเสาขนำ เมื่อตัดออกระยะห่างระหว่างต้นที่เหลืออยู่มันก็จะห่างกัน ก็ได้พอดีตามความต้องการ

ก็ยังเพาะต้นไม้ เพิ่มเติมอีก แม้ไม่มีที่ปลูกแล้ว เพราะชอบเพาะเมล็ดพันธ์ไม้  มันท้าทายดี หากเพาะแล้วมันโต ขึ้นแสดงว่า เราเข้าใจวิธีเพาะเมล็ดนั้น หากเมล็ดบางพันธ์ของไม้ เพาะแล้วไม่ขึ้น หรือตาย ก็ต้องหาสาเหตุมันว่า ทำไม เพาะแล้วตาย รากเน่า หรือแห้ง เป็นเพราะดินหรือเป็นเพราะเราทำตามคำแนะนำที่เขาแนะนำมาไม่ถูกต้อง เลยเพาะไปเรื่อย ทำไม ทำมาก็ไม่มีที่จะวางต้นไม้ที่ใส่ถุงไว้ที่บ้านแล้ว เลยวางแผนย้ายไปเก็บไว้ที่สวนเล็ก

ก็มีคนถามว่า ที่สวนเล็กไม่มีใคร ไม่กลัวว่าใครจะขโมยต้นไปหรือ ก็บอกเขาว่า ต้นไม้ที่เพาะไว้หากมีใครขโมยไป ไม่มีใครหรอกลงทุนเพื่อขโมยไปทิ้ง เขาเอาไปแล้วก็ปลูกแน่นอน เท่ากับว่า เราเพาะต้นไม้ แล้วแจกให้เขาปลูก เช่นกัน เพียงแต่เขาไม่บอกเรา เขาไปปลูกเอง ตามวิธีการของเขา

ขณะขับรถออกจากเบ้านเพื่อจะเปิดประตู ก็เจออีก มะละกอ ที่เคยหล่นข้างบ้าน มางอกออกมาเป็นต้น มีลูกสุกจนเน่าหล่นลงมา กับ ลูกมะม่วงเบาที่หล่นอยู่ก็งอก เต็มไปหมด จัดการเก็บขึ้นรถ เพื่อไปโปรยในสวนในพื้นที่ว่าง 

มันไม่ได้ลงทุนอะไรเลย หากมันโต ไม่ตาย ก็ให้คนมาเอาไปกินได้ หากตาย ก็ช่าง เพราะไม่ได้ทำอะไรเลย แค่ บรรทุกลูกที่เน่ามา แล้วโยนในพื้นที่ว่างแต่นั้น

มาถึงสวน ก็เริ่มภารกิจ  แต่มันก็แปลก บางทีมาสวนแต่ละครั้ง วางแปลนว่าจะทำอย่างนั้น อย่างนี้  แต่สุดท้าย ไม่เคยเสร็จสักที มีงานมาตลอด  นอกเหนือจากที่คิด มีงานให้ทำตลอดเวลา  จนบางที หากรู้ไม่เท่าทัน ทำให้สุขภาพเราเสียได้ หากเราหักโหมมากเกินไป  ก็เหมือนเดิมต้องพอดี  

 เริ่มหิว แต่บรรยายกาศ กำลังดีเลยถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย   ก่อนกลับบ้าน หลังจากเสร็จภารกิจช่วงเช้า

 ก็กลับบ้าน กินข้าว อาบน้ำ อ่านหนังสือ หลับ 15 นาที  ลุกขึ้นมาเขียนบทความ

พร้อมกับแนะนำน้องๆๆ เรื่องการจัดทำสวน ในไลน์กลุ่ม  มีน้องคนหนึ่ง รง (ไม่ใช่วงค์สวรรค์) ส่งภาพมา เลยแนะนำว่า  ในการทำสวน  สิ่งแรกที่เราต้องคำนึงก่อน คือสร้างถนนเข้าสวนให้มันชัดเจนแน่นอน    มันคือแกนที่เราจะต้องสร้างไว้ก่อนถ้ารถเข้าไม่ถึงมันน่าจะเหนื่อย กับได้กันพื้นที่ไว้แล้ว หากทำอะไรไปก่อนแล้วสร้างถนน อาจจะต้องสูญเสียต้นไม้หรือสิ่งที่เราปลูกไว้แล้ว  อีกอย่างมันเป็นอะไรที่ไม่มีจุดศูนย์กลางหรือแกน หากเราไม่สร้างถนนก่อน

รวมทั้งวิธีการสร้างมูลค่าในส่วนของเรา หากสร้างถนน ให้ชัดเจน และวางแผนงานในการจัดการเรื่องถนน มันจะทำให้สวนเรามีมูลค่าเพิ่มมากยิ่งขึ้น และหากให้มีค่ามากยิ่งขึ้น ก็ต้องจัดสรร เรื่องพื้นที่การสร้างบ้าน เช่นการยกปรับระดับพื้นที่ จัดสัดส่วน ที่จะทำสระ  คลองไส้ไก่ หรือสิ่งอื่น มันจะยิ่งสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสวนของเรามากยิ่งขึ้น

หลังจากนั้น ก็เจอกับที่เจอทุกวัน คือมันร้อนมาก และคิดว่า เป็นช่วงที่แต่ละวันเวลามันผ่านไปช้า มันร้อน ทำอะไรก็ไม่ค่อยได้เท่าที่ควร อ่านหนังสือก็ไม่ค่อยมีสมาธิ นอนเล่น และเริ่มเปิดขยะ เข้ามาดู โดยเฉพาะเฟสบุค ขนาดไม่มีเพื่อนหวังดู Feed ดี แต่ก็เจอแต่โฆษณา การยิ่ง แอด พอดู youtube ก็นำเสนอแต่เรื่องที่พยายามชี้นำเรา เลยใช้วิธีค้นหาสิ่งที่จะดู มันก็นำเสนอตามมาอีก จัดการปิด แล้วก็นอนเล่น

บ่าย 3 โมงกว่า ก็เริ่มไปขุดต้นมะม่วงที่มันขึ้นเอง  แยกออกเป็น 2 ส่วน คือมะม่วงพันธ์ดี ที่เขาว่ากินแล้วอร่อย คนที่บ้านซื้อกินแล้วโยนเมล็ดทิ้งไว้มันเริ่มงอก กับเดินไปดูมะม่วงเบาข้างบ้าน ที่มันหล่นมาแล้วงอก เก็บรวบรวม เพื่อไปเพาะ

แต่เน้นมะม่วงเบา พันธ์พื้นเมืองมากกว่า เพราะไม่มีคนสนใจแล้ว มันก็แปลก บางสิ่งบางอย่างมันอยู่คู่กันมานาน มักไม่มีใครสนใจ

มะม่วงเบา  เป็นมะม่วงที่ปลูกง่าย ลูกที่หล่นมาบนพื้นส่วนมากงอกหมด เกือบทุกเมล็ด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่แบบไหน ส่วนมากคนมักจะปล่อยทิ้ง ไม่สนใจ ปล่อยให้มันตายไปเอง ไม่ยอมปลูก หรือทำอะไรต่อ

หากเรามองให้ดี หากเราปลูกต้นมะม่วงเบา ก็ไม่มีอะไรยากเลย แค่ เอาเสียบแซะให้เป็นหลุม แล้ววางต้นลง มันก็จะโตเอง 

เมื่อวันโต ใบมันจะหล่นมาก และใบนั้นแหละมันเป็นปุ๋ยให้พืชอื่น ได้ร่มเงา หากต้นใหญ่ แต่ส่วนมากจะใหญ่หรือโต ไม่มากก็ได้ร่มเงา  

หากไม่ต้องการก็โค่นทิ้งได้ง่าย  ถ้าดูการลงทุนขุด แล้วปลูก เพื่อได้รับประโยชน์จากมัน มันเป็นพีชที่คุ้มค่ามาก ปุ๋ยไม่ต้องใส่ ลูกก็ได้กิน เผลอในอนาคตหน้าจะขายได้ด้วย แต่มันก็มาสรุปได้เหมือนเดิม คือต้นมะม่วงเบา มันเป็นต้นไม้ที่ธรรมดา คนก็เลยมองเป็นของธรรมดา แต่หากเรามองว่า มันไม่ไช่ธรรมดา ดูส่วนดีของมัน มันก็ไม่ใช่ธรรมดา 

เลยเพาะและปลูกไว้เป็นจำนวนมาก

มันนี้ เพื่อพักผ่อนหลังจากที่หักโหมปลูก  หลุมพอ ตะเคียนทอง ไม้แดง มะกะฮอนี สักทอง หลายวัน ในช่วงเวลาที่เหมาะสมมากที่สุด คือฝนไม่ตกมากเกินไป และไม่ร้อนหลายวันจนเกินไป  เลยพักโดยการเอาต้นไม้ลงถุงดำ เพื่อเตรียมปลูกไม้เสริม ระยะสั้น แทรกเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ที่กว่าจะเติบโตต้องใช้เวลาหลายปี 

เหงื่อซึมมานิดๆๆ ไม่มาก แค่พอเสื้อเปียกครึ่งตัว ไม่เต็มตัวเหมือนทุกวัน  เลยคิดว่าวันนี้พอ 

ขับรถมานั่งเล่นปากทางเข้าสวน พิจารณาเหมือนทุกวัน ว่าเราจะทำอะไรเพิ่ม น่าขุดสระเพิ่มเพื่อเป็นแก้มลิงเก็บน้ำไว้ใช้หน้าแล้ง กับอย่าให้น้ำท่วมขังในสวนมากเกินไป วางแผนเส้นทางคลองใส้ไก่ คิดตั้งไว้ รอเวลาจังหวะ เงินทุน ความคิด ความพอดีลงตัว น่าจะซื้อ แบคโฮ เพื่อจัดสรรเอง ดีกว่าจ้าง 

นั่งคิด นั่งฝัน วางเป้าหมายไว้ ในสิ่งที่จะต้องทำไว้ในแต่ละวัน แต่เดือน แต่ละปี ก็วางแผนเดินตามฝันหรือสิ่งที่ต้องการต่อไป เพื่อให้ชีวิตมันมีเป้าหมาย ไม่อยู่อย่างคนหมดเป้าหมาย แล้วปล่อยให้ชีวิตสบายไปวันๆๆ ที่ พอร้อน นอนห้องแอร์ หรือทำให้ชีวิต สะสมไปในทางที่ทำให้ตัวเองหมดฝันหมดเป้าหมาย

 

เหมือนทุกวัน

ได้เวลา กลับบ้าน ก็ปฎิบัติในสิ่งธรรมดา เหมือนทุกวัน ตอนเย็น หลังข้าวเรียงเม็ด ดูเวลาแล้ว ยังอีกประมาณ 3 ชม ก่อนถึงเวลานอน ก็หยิบหนังสือหลายเล่ม มาอ่านแล้ววาง อ่านแล้ววาง จนมาเจอเล่มหนึ่งที่ตรงกับอารมณ์ หรือจริต ช่วงนั้น ก็อ่านยาวเลย เมื่อเหลือบดูนาฬิกา ตกใจ 

ยังไม่เกิน 20 นาที ถึงเวลาเข้านอน ฝนก็ตกหนักด้วย เลยเก็บข้าวของ เตรียมตัวอ่านไปอ่านต่อบ้านหลังจากในการอ่านในบ้านหลังนี้ ก็เพื่ออ่าน แล้ววางหนังสือ หลับเลย

 

นั้นคือช่วงชีวิต ที่ธรรมดาของธรรมดาอีกวัน 19 June 2022

news via inbox

ต้องการรับข้อมูลข่าวสาร

Leave A Comment